หากพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอุดรธานี จะต้องนึกถึงแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง หรือหอนางอุสา แต่สำหรับวันนี้ผมจะมานำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่ง ที่น่าสนใจไม่น้อย สำหรับใครที่สนใจประวัติศาสตร์ในยุคสงครามเวียดนาม ถือว่าห้ามพลาดเลยทีเดียวครับ ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ.2507 เป็นช่วงที่ประเทศไทยเรา ต้องเผชิญกับภัยจากสงครามเวียดนาม การต่อสู้ห้ำหั่นกัน ระหว่างสหรัฐอเมริกาและเวียดนามเหนือยังคงดำเนินอยู่ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ต้องรับมือกับภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ นั่นจึงทำให้ไทยต้องร่วมมือกับผู้นำโลกเสรีอย่างสหรัฐอเมริกา ในการต้านภัยคุกคามจากสงครามเวียดนามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงมีการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐอเมริกา เพื่อขอใช้สถานที่ในการตั้งฐานทัพ ภายใต้ชื่อ "แถลงร่วมถนัด-รัสก์" ถือเป็นความลับขั้นสุดยอดในเวลานั้น ณ ตำบลโนนสูง จังหวัดอุดรธานี ทหารอเมริกันได้เข้ามาขอชื้อที่ดินจากนางสา เป็นจำนวน 400 ดอลลาร์ พื้นที่ราว 800 ไร่ 3 งาน 23 ตารางวา เพื่อใช้เป็นสถานีเรดาร์ ในการติดต่อสื่อสารกับหน่วยทหารของสหรัฐอเมริกา ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่มาของชื่อค่ายรามสูรนั้น มาจากตำนานเมขลาและรามสูร โดยเปรียบกับการล่อแก้วของนางเมขลา และการขว้างขวานของรามสูร เป็นการรับส่งสัญญาณวิทยุในสถานีเรดาร์ เมื่อสงครามเวียดนามสิ้นสุดลง ทหารอเมริกันได้ถอนทัพออกจากเวียดนาม รวมถึงค่ายรามสูรแห่งนี้ ทางกองบัญชาการสูงสุดของไทย จึงได้ส่งต่อให้กองทัพบกดูแล ต่อมาค่ายรามสูรจึงเป็นที่ตั้งของกองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 13 หรือ ร.13 พัน 1 และในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ในสมัยของนายกรัฐมนตรีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้มีประกาศจากสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานชื่อค่ายทหาร เปลี่ยนชื่อเป็นค่ายพระยาสุนทรธรรมธาดา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สำหรับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ค่ายรามสูรแห่งนี้ ตั้งอยู่ในตำบลโนนสูง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ใช้เส้นทางขอนแก่น-อุดรธานี เราจะเห็นซุ้มประตูพิพิธภัณฑ์ค่ายรามสูร ตั้งเด่นเป็นตระหง่านอยู่ เมื่อเราขับรถเข้ามาเราจะเห็นสำนักงานอำนวยการพิพิธภัณฑ์ของค่ายรามสูร ให้เราเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อขอเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้เลยครับ อัตราค่าบริการ 30 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาท นักศึกษา 20 บาท นักเรียน 10 เด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี เข้าชมฟรี จากนั้นพวกพี่ ๆ ทหารก็จะพาเราชมวิดีทัศน์แนะนำสถานที่คร่าว ๆ เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็จะพาพวกเราไปชมสถานที่ของจริงกันครับ เมื่อเข้ามาเราจะเห็นเสาขนาดใหญ่ทั้งหมด 48 ต้น พี่ไกด์ทหารเล่าให้ฟังว่า เดิมทีเรดาร์มีอยู่ด้วยกัน 2 วงได้แก่ วงนอกและวงใน ปัจจุบันเหลือแต่วงในที่เป็นเสาเรดาร์สูง ๆ เท่านั้น (ส่วนวงด้านนอกนั้นถูกรื้อเป็นเศษเหล็ก ชั่งกิโลขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว) และจะมีอาคารที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเสาทั้ง 48 ต้น เป็นที่เก็บอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ของทหารอเมริกันในสมัยนั้น ตอนนี้ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์เล่าถึงประวัติความเป็นมาของพื้นที่แห่งนี้ ภายนอกเราจะเห็นเครื่องบินอยู่ลำหนึ่ง เครื่องบินลำนี้คือ โอ-1 เบิร์ด ด็อก (O-1 Bird Dog) เป็นเครื่องบินตรวจการณ์ สังกัดกองทัพบก ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับค่ายรามสูรแห่งนี้เลย เพียงแต่ได้รับมอบให้มาจัดแสดงเท่านั้น ภายในจะมีรูปถ่ายที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงความเป็นมาของค่ายรามสูร แสดงให้เห็นว่าเป็นค่ายทหารที่มีความน่าสนใจไม่น้อย ด้วยขนาดของค่ายที่ใหญ่กว่า 800 ไร่ ทำให้มีสิ่งอำนวยความสะดวก และสถานที่ให้ความบันเทิงภายในค่าย อาทิ โรงหนัง ลานโบว์ลิ่ง สระว่ายน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย ปัจจุบันก็ยังคงมีร่องรอยสิ่งเหล่านี้หลงเหลืออยู่ โดยได้ดัดแปลงนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น โรงหนังก็ได้กลายมาเป็นหอประชุม เป็นต้น ไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้ในการมาเยือนค่ายรามสูรแห่งนี้ คือการเดินลอดใต้อุโมงค์ความยาว 350 เมตร ว่ากันว่าเป็นหลุมหลบภัยสำหรับทหารอเมริกัน รวมทั้งเป็นที่เก็บ และเคลื่อนย้ายสายสัญญาณสื่อสารและอุปกรณ์ต่าง ๆ นอกจากนี้พี่ไกด์ทหารได้ชี้ให้เห็นภาพวาดบนผนัง โดยบอกว่าเป็นภาพที่ทหารอเมริกันจับพญานาคได้ (ความจริงแล้วคือปลาออร์ หรือปลาริบบิ้น เป็นปลาที่มีลำตัวยาว อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกประมาณ 200-1000 เมตร) และที่สำคัญคือวาดโดยคนไทย ที่เข้ามาเป็นแรงงานสมัยก่อสร้างค่ายรามสูรใหม่ ๆ ทันทีที่เราออกจากอุโมงค์ เราก็จะพบกันศูนย์บัญชาการของทหารอเมริกัน ปัจจุบันได้หลงเหลือไว้แต่ความทรงจำ โดยสถานที่ที่เราเห็นนี้ถูกเรียกว่า "The Box" เพราะรูปทรงของตึกที่มีรูปร่างสี่เหลี่ยมคล้ายกล่องขนาดใหญ่ จากร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ทำให้เราทราบว่า อาคารแห่งนี้มีการออกแบบมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะผนังกำแพงที่ออกแบบมาให้เก็บเสียงได้ดีเยี่ยม และมีที่เก็บหน้ากากกันแก๊ส น่าเสียดายที่อาคารได้ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา คงเหลือให้เห็นแต่ร่องรอยโครงสร้างของอาคารเท่านั้น สุดท้ายนี้หากใครได้แวะมาเที่ยวจังหวัดอุดรธานี ก็อย่าลืมแวะพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ค่ายรามสูรกันด้วยนะครับ นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัดอุดรธานีแล้ว ยังทำให้เราทราบถึงความเป็นมาของจังหวัดอุดรธานี ในช่วงปี 60-70 ได้เป็นอย่างดี หากได้มาเที่ยวรับรองว่าจะได้พบกับเรื่องราวที่น่าทึ่งกว่านี้ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียวครับ เรียนรู้ในอดีต เพื่อสร้างสรรค์อนาคต ภาพทั้งหมดโดย ผู้เขียน