ครั้งแรกที่ขับรถผ่านถนนบางกรวย–ไทรน้อย แล้วเลี้ยวเข้าซอย วัดชลอในตำบลวัดชลอ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ก็เหมือนได้ยืนต่อหน้าวัดเก่าแก่ธรรมดาๆ แห่งหนึ่งในนนทบุรี ห่างจากกรุงเทพฯ แค่ไม่กี่กิโลฯ แต่กลับให้ความรู้สึกเรียบง่ายและสงบเงียบจนดูเหมือนไม่เด่นอะไรเท่าไหร่ แต่ทว่า…ความรู้สึก “เฉยๆ” นั้นกลับเปลี่ยนทันทีที่ก้าวผ่านซุ้มประตูเข้าไป โบสถ์เก่าแบบอยุธยา เดินผ่านลานโล่งเล็กๆ เข้าใกล้โบสถ์หลังเก่าที่ตั้งเด่นริมแม่น้ำคลองบางกอกน้อย เราสัมผัสได้ถึงกลิ่นอาย “ฐานโค้งแบบตกท้องสำเภา” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ศิลปะอยุธยาตอนปลาย ฐานแอ่นรับแรงได้งดงาม ปัจจุบันโบสถ์หลังนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ด้านในบรรจุพระพุทธรูปปางมารวิชัย ปางสงบและน่าเกรงขรึม มีชีวิตชีวาในมิติของจิตใจ เราได้ยินเสียงคนสวดมนต์เบาๆ และสัมผัสถึงความสงบที่หลอมรวมในอากาศ โบสถ์หลังใหม่ “เรือสุพรรณหงส์” แต่ที่ทำให้ใจเราสะดุดที่สุดเห็นจะเป็น “โบสถ์บนเรือสุพรรณหงส์” ที่ลอยเด่นกลางพื้นที่วัด วัดชลอถูกสร้างตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย (ประมาณ พ.ศ. 2275 ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) แต่โบสถ์หงส์นี้เป็นโครงสร้างใหม่เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2526 ตามนิมิตหลวงพ่อสุเทพ (พระครูนนทปัญญาวิมล) โบสถ์รูปเรือที่แปลกตานั้นออกแบบโดยนำเอาภาพเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์มาเป็นต้นแบบ (แม้จะไม่ใช่เรือพระราชพิธีจริง) แต่ขนาด ตกแต่ง และสัดส่วนให้ความรู้สึกประหนึ่งว่าเป็นเรือทองลอยอยู่กลางวัดจริงๆ วัดแห่งอาถรรพ์ริมคลองเชี่ยว หากดูจากประวัติในเอกสารทางประวัติศาสตร์ จะพบว่าในอดีตบริเวณนี้เป็น “โค้งน้ำเชี่ยว” ซึ่งเป็นทางผ่านของเรือสำเภาจีนที่ครั้งหนึ่งเคยล่ม มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จนถือว่ามี “อาถรรพ์” ไม่สามรถทำมาค้าขายได้ เรื่องเล่าบันทึกไว้ว่าพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จประพาสทางน้ำมาตามคลองนี้ ทรงพบว่าเป็นพื้นที่ที่ควรสร้างวัดเพื่อให้ประชาชนมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่เมื่อดำเนินการก่อสร้างก็เจออุปสรรคมาก ฝนฟ้าผ่า ฯลฯ จนชะงัก นิมิตจากฝันกับชายจีนผู้รอตาย สุดท้ายพระองค์ได้ทำพิธีเสี่ยงสัตยาธิษฐานขอคำตอบจากเทพยดา และเมื่อคืนทรงพระสุบินว่า มีชายจีนชราในอดีต (ผีเรือล่ม) มาให้ทรงสร้างโบสถ์เป็นรูปเรือสำเภา เพื่อช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณเหล่านั้น หากทำตามก็จะไม่มีเหตุร้ายอีก ต่อมาพระองค์จึงทรงสร้าง และพระราชทานนามว่า “วัดชลอ” (“ชลอ” คือสัญลักษณ์เตือนให้ชะลอเรือก่อนถึงโค้งน้ำเชี่ยว) เวลาล่วงมาถึง พ.ศ. 2525 เจ้าอาวาสองค์หนึ่งคือ “หลวงพ่อสุเทพ” หรือพระครูนนทปัญญาวิมล ได้รับนิมิตว่าเห็นเรือหงส์ลอยอยู่หน้าโบสถ์เก่า ท่านจึงตั้งใจสร้างโบสถ์เป็นรูปเรือหงส์ เพื่อให้เกิด “ประโยชน์จริง” และสื่อถึงพลังศรัทธาแห่งเรือสุพรรณหงส์ โครงการเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2526 ใช้งบประมาณจากศรัทธาของชาวบ้าน และก้าวหน้าเรื่อยมา แม้ช่วงวิกฤติปี 2540 จะชะลอไปบ้าง แต่ก็ยังคืบหน้าเกือบเสร็จเต็ม 85% มีทั้งการลงรักปิดทอง ติดกระจกสี และลวดลายแกะสลักที่ละเอียดงาม ภายในตั้งพระประธานคือ “หลวงพ่อดำ” (เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวกับโบสถ์หลังเก่า) แวดล้อมด้วยลวดลายสวยงาม และอากาศที่แปลกและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน วัดชลอไม่ได้มีดีแค่โบสถ์เรือหงส์ ที่นี่ยังมีองค์ศักดิ์สิทธิ์หลายแห่ง ดังนี้: • ศาลเจ้าแม่บัวลอย เรื่องเล่าเล่าว่าแม่บัวลอย ท้องแก่ พายเรือขายขนม แต่เรือคว่ำตาย มีผู้พบกระดูกกลางคลองและนำมาเก็บรักษาที่วัด ไว้ให้ชาวบ้านกราบไหว้ ขอหวยกันแม่นเหลือเชื่อ • พระอุโบสถโบราณหลังเก่า เป็นจุดที่หลายคนมากราบไหว้, ขอพรให้ชีวิตสงบสุข หรือขอให้ปัญหาผ่อนคลาย • องค์พระประธานทั้ง 2 แห่ง – มีทั้งหลวงพ่อดำ (เรือหงส์) และพระพุทธรูปโบราณในอุโบสถเก่า ซึ่งให้ความรู้สึกต่างกัน แต่เสริมสร้างความสมดุลทางจิตใจ และดูแลให้จิตใจเบิกบานขึ้น บรรยากาศและความรู้สึกเมื่อเข้าไปในวัด ด้านหน้าวัด โบสถ์เรือสุพรรณหงส์ทองอร่ามสะดุดตา เห็นโดดเด่นจากถนนระยะไกล ยามค่ำคืนโคมไฟในเรือส่องประกาย ส่วนอุโบสถเก่าล้อมรอบด้วยต้นไม้และน้ำ แฝงด้วยความเรียบง่ายโบราณ ทางเดินเข้าโบสถ์ เดินขึ้นบันไดไม้ เลียบลำเรือ เข้าไปภายในตัวเรือรู้สึกเหมือนนั่งเรือจริงๆ มีลมพัดเย็นเหมาะกับการกราบไหว้หลวงพ่อดำ ภายในโบสถ์ อากาศเงียบสงัด พระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งสง่า เงาสะท้อนจากผิวไม้/ทองแดง ดึงดูดใจให้ใจสงบและตั้งมั่นในจิต เป็นสภาวะที่ยากจะอธิบายด้วยคำพูด วัดชลอ คือจุดที่เรียกให้เราชะลอความเร็วของชีวิต หยุดสักพัก แล้วได้เห็นประวัติศาสตร์ ศิลปะ และจิตวิญญาณของคนรุ่นหลังผสมผสานเข้ากันอย่างลงตัว ชวนให้ยิ่งกว่าสำรวจ แต่อยากให้มา “สัมผัส” ด้วยตัวเองค่ะ หวังว่าบทความนี้จะช่วยตัดสินใจให้ไปแวะไหว้พระกันที่นี่ได้ง่ายขึ้นนะคะ ถ้าถูกใจ ช่วยแชร์ให้เพื่อนรู้จักกันด้วยนะคะ 🙏ขอบคุณค่ะ ขอให้มีวันที่ดี เครดิตภาพ : ถ่ายเองจากมือถือทุกภาพค่ะ อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !