ผมมองการท่องเที่ยวไม่ใช่แค่การไปให้ถึง แล้วถ่ายรูป เช็คอิน-กลับ แค่ให้รู้ว่าไปเยือน แต่การท่องเที่ยว คือ การเดินทาง และอรรถรสทุกอย่างตั้งแต่เริ่มก้าวออกเดินทาง ...จนจบทริป สิ่งเหล่านี้ที่สร้างความรู้สึก ตื่นตัว รอคอย เกินคาด ดีบ้าง ร้ายบ้าง มันเป็นทุกส่วนผสมของการท่องเที่ยว การเดินทางโดยรถไฟในครั้งนี้ ก็เช่นกัน ผมไม่ได้คาดหวังถึงจุดหมายว่าจะต้องเจออะไร แค่อยากเดินทาง ไปเรื่อยๆ อยากซึมซับรายละเอียดระหว่างทางไปในตัว แล้วค่อยไปลุ้นดูในจุดหมายอีกที ในครั้งนี้เราจองตั๋วรถไฟผ่านเน็ต ด้วยว่าสะดวกดี เสียอย่างเดียวเราจะไม่ได้ตั๋วจริงๆ อันคลาสสิก ได้แต่ใบปริ้นออกมาแทนตั๋ว ขบวนที่เรานั่งกันมานี้ เป็นรถไฟโบกี้ธรรมดา หรือชั้น 3 ซึ่งจะสามารถเปิดหน้าต่างรับลมได้ โดยในห้องโดยสารก็จะมีพัดลมช่วยเช่นกัน โดยปกติแล้วถ้าแดดไม่ส่องจนร้อน หรือจ้าเกินไป ก็เปิดรับลมธรรมชาติดีกว่า เพราะทำให้อากาศหมุนเวียนดี รู้สึกโปร่ง เย็นกว่า และได้อรรถรสดีเลย การเดินทางใช้เวลาประมาณ 5 - 6 ชม. ระหว่างอยู่ในโบกี้ ก็มีห้องน้ำไว้บริการตามปกติ ไม่ต้องอึดอัด ตัวเบาชมวิวเพลินๆ ต่อ เราเดินทางไปช่วงเช้าวันเสาร์ วันหยุดสบายๆ รถค่อยๆ เคลื่อนออกจากเมือง ความหนาแน่นของตึกรา ถนน เมือง ค่อยๆ หายไป ไม่นานนักเมื่อพ้นระยะมาประมาณสายๆ รอบข้างทางก็ต้อนรับเราด้วยวิวทิวทัศน์ โล่งๆ หลากหลาย บ้างก็มีทุ่งนา บ้างก็เจอเนินน้ำลานกว้างคล้ายทะเลสาบ มีนก มีวัว ฯลฯ ตลอดจนวิถีชีวิตชาวบ้าน ตลอดสองข้างทาง ลมธรรมชาติ ตีมาบ้างเย็นสบายใช้ได้เลย เมื่อเริ่มผ่อนคลายก็ชักหิว โดยระหว่างแวะแต่ละสถานี ก็จะมีแม่ค้าพ่อค้า ขึ้นมาร้องเรียกขายอย่างช่ำชอง พร้อมของกินหลากหลาย เล็งๆ ลองๆ ก็จัดข้าวเหนียวหมู ต่อด้วยกาแฟ รองรับความหิวได้พอดี ช่วงก่อนจะเข้าสถานี รถไฟจะชลอตัว ให้ได้เห็นอะไรข้างนอกได้ใกล้ชิด แตกต่างกันไปแต่ละจุด ทำให้ได้มีเวลาได้ดูรายละเอียด วิถีชีวิตผู้คนแต่ละย่าน ที่หลากหลาย จุดหมาย จุดหมายเป็นทั้งปลายทาง และจุดเริ่มต้น ทริปนี้ก็เช่นกัน เราเสร็จสิ้นการเดินทาง และก็พร้อมกับการเริ่มกับจุดหมายนี้ ที่ลุ้นต่อไปว่าจะเป็นยังไง แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าจะดี จะแย่ ยังไงมันก็จะเป็นส่วนผสมที่มีรสชาติ และสีสันเสมอกับชีวิต...