ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสแวะไปสักการะบูชาสถูปหลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ที่วัดช้างให้ ปัตตานี เป็นต้องเช่าเหรียญหลวงพ่อทวดกลับไปฝากเพื่อนสนิทสมิตรสหายที่ กทม. เสมอ บางครั้งมอบให้คนที่เพิ่งรู้จักกัน ใครที่เพิ่งรู้จักผม แล้วได้รับมอบเหรียญหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ต่างรู้สึกปลาบปลื้ม ดวงตาทอประกายแห่งปิติ เพราะเขาคิดว่า แพง ด้วยมาจากวัดช้างให้ ต้นตำรับ เหรียญหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ต้องยอมรับว่า พระเครื่องหลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด รุ่นบุกเบิกมีราคาหาเช่าหลักหมื่น ถึงหลักแสนบาท แต่ที่ผมนำไปเป็นของขวัญ คือเหรียญประจำปี ผลิตทุกปี ราคาเพียง 20 บาท “รับเถอะครับ 20 บาทเอง” ผมบอกแบบนี้เสมอ เมื่อผู้รับเกรงใจ ทำทีจะควักเงินจ่ายค่าพระเครื่อง ค่าเหรียญ แม้ 20 บาท แต่ใช่ว่าใครจะเดินทางไปจังหวัดปัตตานี กันซะเมื่อไหร่, 20 บาทนี้ จึงเทียบเท่า 2,000 บาท ไปโดยปริยาย ถึงจะขึ้นบทนำด้วยราคา และความชื่นชม แต่ผมไม่ได้มาอวดอ้างเรื่องนั้น เพียงแค่ต้องการสื่อให้เห็นว่า หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด มีผู้คนนับถือท่านมาก แม้ท่านจะไม่เคยผลิตเหรียญ หรือเครื่องรางของขลังเองเลยก็ตาม (เครื่องรางของขลังที่มีอยู่ทุกวันนี้ ล้วนอ้างอิงว่าท่านนิมิตรร่วมในการปลุกเสก) จริง ๆ แล้วเกริ่นหัวด้วยเครื่องราง แต่ผมจะชวนผู้อ่านเที่ยววัดช้างให้ต่างหาก ชวนเที่ยวด้วยแนวคิดเดียวกันกับนำเหรียญหลวงพ่อทวดไปเป็นของขวัญ คือ ไม่ต้องมาก็ได้ หากไม่สะดวก ผมจะนำเรื่องราวมามอบให้ แต่หากได้มาเอง ยิ่งดี บริเวณวัดช้างให้ไม่ใหญ่เท่าชื่อเสียง แต่ต้อนรับผู้มีจิตศรัทธาไม่ขาดสาย จุดที่ผู้คนนิยมไปสักการะ คือ สถูปหลวงพ่อทวด ตั้งอยู่ด้านหน้าวัด ใกล้รางรถไฟ มองไปเห็นสถานีรถไฟวัดช้างให้เด่นชัด ฉะนั้นการมาวัดช้างให้นอกจากรถส่วนตัวแล้ว ยังสามารถมาโดยรถไฟอีกด้วย ข้าง ๆ สถานีรถไฟ ก็เป็นบริเวณวัด ส่วนนี้ใช้จัดกิจกรรมเมื่อมีงาน (สถูปหลวงพ่อทวด) นอกจากสถูปบรรจุอัฐิแล้ว ก็เป็นวิหารหลวงพ่อทวด ที่ประดิษฐานรูปเหมือนของท่าน พร้อมบริการน้ำมนต์ให้ตักไปเป็นของมงคลได้ ส่วนโบสถ์ และวิหารพระอาจารย์ทิม ผู้ทำเปิดตำนานพระเครื่องหลวงพ่อทวด มีแวะไปชมบ้างประปราย ภายในวิหาร โอ่งน้ำมนต์ ตำนานวัดช้างให้ มีมาพร้อมตำนานสร้างเมืองปัตตานี เล่าว่า ขณะที่พญาแก้มดำ เจ้าเมืองไทรบุรี ดำริจะสร้างเมืองใหม่ให้น้องสาว ได้ใช้วิธีช้างเสี่ยงทาย โดยช้างหยุดที่ใดแล้วร้องสามครัังจะสร้างเมืองที่นั่น ปรากฏว่า ช้างหยุดและร้องสามแปร๋นที่ ตำแหน่งวัดช้างให้ (ต. ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี) แต่น้องสาวไม่ชอบ พระองค์จึงเสี่ยงทายใหม่ คราวนี้น้องสาวพบกระจงเผือกเข้าที่บ้านกรือเซะ และชอบทำเล จึงสร้างเมืองปัตตานีขึ้นที่นั่น ส่วนตำแหน่ง ช้างร้องเมื่อแรก พญาแก้มดำเสียดาย กลับมาสร้างวัด และตั้งชื่อว่า ช้างให้ ช้างให้ มีบางเสียงบอกว่า จริง ๆ แล้ว มาจากคำว่า ช้างไห้, ไห้ที่แปลว่าร้อง เพราะย่านนี้ชุมด้วยต้นไม้ชนิดหนึ่ง ใบมีหนาม ช้างเคยใช้งวงคว้าหมับ จับมั่น แล้วดึงหมายจะอร่อย แต่โดนหนามตำ เจ็บแสบ ถึงขั้นร้องลั่นหลั่งน้ำตา ต้นไม้นี้จึงมีนาม ช้างไห้ จะด้วยสาเหตุใด วัดช้างให้ก็พิสูจน์แล้วว่า เป็นวัดโบราณ ถูกทิ้งร้างมาก่อน สำหรับหลวงพ่อทวดวัดช้างให้ ท่านเคยเป็นถึงสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงศรีอยุธยา นาม พระราชมุนี สามีรามคุณูปมาจารย์ แต่ท่านไม่ปรารถนายศฐา จึงธุดงค์มาเป็นเจ้าอาวาสวัดช้างให้ (ส่วนประวัติของหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดนั้น ผมจะยกไปเล่าต่างหากในบทความอื่น) ด้านหน้าวิหารหลวงพ่อทวด มีกระถางธูปขนาดใหญ่ เถ้าธูปอัดแน่น แน่นจนปักก้านธูปลงลำบาก ครั้งหนึ่งผมเห็นชาวบ้านมาคุ้ย ๆ เถ้าธูปใส่ถุง เข้าไปถาม ได้ความว่า นำไปทำยา เขาเป็นหมอพื้นบ้าน ทั้งบริเวณสถูป และหน้าวิหาร มีเด็กวัดกลุ่มหนึ่งมาควรช่วยเหลือ จัดรองเท้าให้บ้าง เสนอขายดอกไม้บ้าง วิธีจัดรองเท้า คือ ปกติเราต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าวิหาร เด็กกลุ่มนี้จะจัรองเท้าให้เป็นระเบียบ หันหัวรองเท้าให้สะดวกสวม เมื่อเราออกมา เขาจะกล่าวคำอวยพร และจบด้วยประโยครับบริจาคเงิน ห้าบาท สิบบาท จะให้หรือไม่ให้ก็ได้ เขาไม่มีท่าทีคุกคาม ไม่ให้ก็ยิ้ม ให้ก็ยิ้มแต่แถมยกมือไหว้ขอบคุณ แต่ดอกไม้ แนะนำว่าอุดหนุนร้านค้าวัดจะเหมาะกว่า ซุ้มขายก็ตั้งอยู่หน้าวิหารนั่นแหละ วัดช้างให้ หากไม่รีบร้อน มีมุมร่ม ๆ สงบ ๆ ให้พักผ่อนหลายมุม หรือใครอยากหาของกินอร่อย ๆ ตรงข้ามหน้าวัด ก็มีร้านค้าชุมชนบริการ ล้วนอัธยาศัยดี หวังว่าบทความนี้คงทำให้ผู้อ่านพอเห็นภาพวัดช้างให้ได้เป็นอย่างดี หากท่านใดอ่านแล้วต้องการไปสัมผัสสักครั้ง แนะนำว่าไปกับรถไฟ ขบวน 171 ครับ ออกจาก กทม. บ่ายวันนี้ ถึง วัดช้างให้สาย ๆ ของวันพรุ่งนี้ เมื่อถึงสถานีรถไฟวัดช้างให้ รถไฟขบวน 171 จะวิ่งตรงไปยัง อ.สุไหงโก-ลก จ. นราธิวาส แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น ขบวน 172 มาถึงสถานีรถไฟวัดช้างให้ ประมาณบ่ายโมง ผู้อ่านขึ้นขบวนนี้กลับเข้า กทม. ได้เลยครับ (แนะนำให้จองตั๋วแบบไป – กลับ ให้เสร็จทีเดียว) สาย ๆ ของอีกวัน ก็เข้าสู่กรุงเทพมหานคร ช่วงเวลาระหว่างสาย ๆ ถึง บ่าย มีเวลาชมวัดช้างให้เยอะเลยครับ ภาพโดย ผู้เขียน