หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์เก็บวัตถุโบราณและพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ (ไสยาสน์ คือบรรทมหลับหรือนอน) อยู่ภายในวัดหน้าถ้ำ หรือวัดคูหาภิมุข จังหวัดยะลา เป็นสถานที่ทำบุญของพุทธศาสนิกชน ที่ได้แวะชมความงามของพระพุทธรูปางไสยาสน์ภายในถ้ำ ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขา โดยมีความงดงามจากหินงอก หินย้อยและโขดหินที่มีน้ำใสไหลเย็น จนเชื่อว่าเป็นความศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองยะลา โดยครอบครัวของผู้เขียนได้เดินทางไปกราบสักการะพระพุทธรูปและแวะเยี่ยมเพื่อนลิง ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก พระพุทธรูปปางไสยาสน์วัดหน้าถ้ำ ครอบครัวของผู้เขียน ได้เดินทางไปกราบสักการะพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ภายในวัดหน้าถ้ำ เพราะอยากไปแสวงบุญ โดยวัดหน้าถ้ำ ตามชื่อเรียกของชาวบ้านที่เรียกขานวัดคูหาภิมุข ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองยะลา สามารถเดินทางไปมาได้สะดวก จากประวัติที่เผยแพร่ในป้ายข้อความภายในวัดหน้าถ้ำ เล่าความกันมาว่า วัดหน้าถ้ำ ได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2390 โดยผู้ใหญ่บ้านหน้าถ้ำ เพื่อให้วัดแห่งนี้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจของชุมชน เพราะเป็นชุมชนโบราณมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จึงค้นพบวัตถุโบราณ พระพิมพ์ดินดิบ อิฐที่สร้างฐานพระพุทธรูป และของเก่ามากมาย จนได้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์ขึ้นไว้ การเดินขึ้นไปกราบสักการะพระพุทธรูปปางไสยาสน์ จะต้องเดินขึ้นบันไดที่สร้างขึ้นสู่ภูเขาเกือบ 100 ขั้น โดยระหว่างการเดินขึ้นไปสู่ถ้ำที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ก็สามารถชมวิวทิวทัศน์เมืองยะลา และมองเห็นความสวยงามของหินงอก หินย้อยที่อยู่ในภูเขา การเดินขึ้นบันไดด้วยทางชัน ผู้เขียนแนะนำว่า ค่อย ๆ ก้าวขึ้น ไม่ต้องรีบ เพราะเดินขึ้นไปได้สักระยะหนึ่ง ก็เล่นเอาหอบเหมือนกันโดยผู้เขียนเอง ก็ต้องอุ้มลูกตัวเล็กเดินขึ้นบันไดไปด้วย เมื่อเข้าไปถึงหน้าถ้ำ ก่อนที่จะถึงองค์พระพุทธรูป ก็จะพบกับรูปปั้นพระพิมพ์ดินดิบ ที่ประดิษฐานอยู่ภายนอก มีความงดงามตามแบบโบราณ ด้วยเนื้อดินสีขาว และ ณ จุดหน้าถ้ำนี้ ก็สามารถกราบไหว้รูปปั้นพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ได้ ในส่วนของพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ ที่ประดิษฐานอยู่ภายในถ้ำ ได้รับการบอกเล่ากันมาว่า ถูกปั้นขึ้นด้วยดินเหนียว โดยมีโครงสร้างภายในที่ใช้ไม้ไผ่ อายุองค์พระพุทธรูปก็อยู่ในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย หรือราว พ.ศ. 1300 โดยมีความยาวกว่า 80 ฟุต บรรยากาศภายในถ้ำนั้น ก็จะรู้สึกเย็นสบาย ไม่รู้สึกระคายเคืองผิวเหมือนกับการอยู่ในที่ร่มอื่น ๆ อาจเป็นเพราะความเย็นของถ้ำ ที่มีหินงอกหินย้อย และมีต้นไม้ปกคลุมยอดถ้ำ จึงทำให้รู้สึกสบายอย่างน่าอัศจรรย์ ส่วนการกราบไหว้พระในถ้ำนั้น ผู้เขียนเอง จะไม่ใช้ธูปเทียน เพราะกลิ่นควันธูปเทียน จะรบกวนและทำลายบรรยากาศ แต่สิ่งที่ได้ทำคือ การกราบสักการะและนั่งชมความงดงามของพระพุทธรูปปางไสยาสน์นี้ ซึ่งมีน้อยองค์นักในประเทศไทย นอกจากนี้ครอบครัวของผู้เขียนยังได้นั่งสมาธิในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อร่วมสร้างกุศลกัน ก่อนจะเดินทางลงจากถ้ำ เพื่อแวะมาเยี่ยมเพื่อนลิงที่วิ่งไต่ราวบนต้นไม้อยู่มากมาย แวะให้อาหารลิงวัดจอมซน เมื่ออิ่มบุญกับการกราบสักการะพระพุทธไสยาสน์แล้ว ก็แวะให้อาหารลิงที่วิ่งขวักไขว่ไปมาในพื้นที่วัดหน้าถ้ำ โดยครอบครัวของผู้เขียนเอง ก็ได้เตรียมกล้วยน้ำวามาให้เพื่อนลิงทั้งตัวเล็ก ตัวใหญ่ หรือแม่ลิงลูกอ่อน ที่ไม่มีท่าทีกลัวผู้คนมากนัก ซึ่งลูกสาวของผู้เขียนเองก็ได้ทำหน้าที่เป็นผู้แจกกล้วยให้ลิงไปพร้อมกับความกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็ทำให้เด็ก ๆมีความสุขกับการได้แบ่งปันอาหารให้เพื่อนจอมซนอย่างลิงที่นี่ แม้จะเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเดินทางมาท่องเที่ยวและกราบสักการะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองยะลา ที่วัดคูหาภิมุข หรือวัดหน้าถ้ำแห่งนี้ แต่ประชาชนและนักท่องเที่ยวเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ก็ยังศรัทธาและเดินทางมาทำบุญอยู่ไม่ขาดสาย... หากใครได้แวะไปเที่ยวเมืองยะลา ก็อย่าลืมไปกราบสักการะขอพร ขึ้นภูเขา-เข้าถ้ำ ไปไหว้พระพุทธรูปปางไสยาสน์ วัดโบราณลำดับต้น ๆ ของเมืองยะลา ที่ยังคงกลิ่นอายของความงามและศิลปวัตถุโบราณให้ได้ศึกษาความเป็นมา ซึ่งผู้เขียนยืนยันว่า ท่านจะประทับใจ เมื่อเข้าไปถึงถ้ำที่ประดิษฐานพระพุทธรูป เครดิตภาพปกบทความถ่ายภาพโดยผู้เขียน