เขาเหมน จ.นครศรีธรรมราช หนึ่งในเส้นทางเดินป่าที่น่าลองมากๆ สำหรับนักเดินป่าที่อยากอัพเลเวลจากเส้นทางเบสิคๆ สู่เส้นทางที่อยากจะทดสอบศักยภาพตัวเอง เพราะเราก็คือหนึ่งในนั้นที่อยากท้าทายตัวเอง มาลองของที่เขาว่าชันในชัน ชันยันยอด ป่าที่ไม่มีทากรวมถึงไม่มีทางราบด้วยกับระยะทาง 3 กม. ที่ใช้เวลาเดินกัน 3-4 ชม. ที่นี่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกโยง อ.นาบอน จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นยอดเขาที่มีความสูงที่สุดในอุทยานที่ระดับความสูง 1307 เมตรจากระดับน้ำทะเล #ป่าใต้ #รีวิวเขาเหมน #เดินป่าไทย การเดินทางมาเขาเหมน สามารถมาได้ 2 แบบ จองผ่านอุทยานแห่งชาติน้ำตกโยงด้วยตัวเอง ผ่านหน้าเพจของอุทยานที่จะประกาศวันขึ้นแต่ละรอบไว้ ซึ่งเราต้องดูแลตัวเองในเรื่องของอาหารและการเดินทางไปยังจุดนัดพบเอง อุทยานแห่งชาติน้ําตกโยง - Nam Tok Yong National Park จองผ่านทริปทัวร์ซึ่งมีหลายเจ้าในกลุ่มเฟสบุ๊ค เราเองจองผ่านน้องไกด์คนท้องถิ่นนาม สะนนท์' สุดตีน ที่จะดูแลเรื่องอาหารการกิน รถรับส่งและลูกหาบให้ ที่สำคัญราคาน่ารักมาก สองใบเทามีทอน แต่ต้องเดินทางมายังจุดนัดพบเอง เราเดินทางโดยรถไฟ ลงที่ชุมทางทุ่งสง ขบวน 171 ต้นทางราชบุรี เป็นตู้นอนพัดลม ราคา 509.- สำหรับเตียงล่าง เดินทางกัน 17.00 น. และถึงปลายทางตอนตีสี่กว่า ๆ ก็จัดการล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำได้ที่สถานี จากนั้นถึงเวลานัด น้องไกด์ก็มารับและแวะซื้อเสบียง ก่อนเข้าไปยังน้ำตกคลองจัง จุดนัดพบเพื่อ จัดแจงของให้ลูกหาบและเตรียมตัวขึ้นรถไปยังจุดเริ่มเดินที่เรียกว่า เนิน 499 กันอีกที ราคาลูกหาบอยู่ที่ กิโลละ 100 บาท เราโดนไปเบา ๆ 5 กก. 500 บาท ถ้ายังไม่มั่นใจในเรี่ยวแรง เราแนะนำเลยว่าแบ่งๆ ให้พี่ๆ เขาช่วยดีกว่า / ฮาา เราเริ่มเดินตอน 9.00 น. ถึงเอาตอนบ่ายโมงกว่าๆ จากน้ำตกคลองจัง ยืนเบียดกันมาไม่นานก็ถึงจุดเริ่มเดิน ใครพร้อมก็เดินกันเลยยย ระหว่างทาง ไม้เทล ช่วยเซฟแรงได้เยอะมาก เราเองไม่ได้เตรียมไปเพราะคิดว่าไม่จำเป็น ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมาก แต่โชคดีตรงทางเริ่มเดินมีไม้เท้าที่สำรองไว้ให้คนที่ประมาทอย่างเรา ที่พอจะช่วยได้อยู่ ก็เลยรอดไป มันเป็นป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูง ทางชันและโขดหิน ต้นไม้สูง เลยทำให้เราเหมือนเดินอยู่ในร่ม แต่ก็เป็นร่มที่ร้อนนิดหน่อย น่าจะแล้วแต่สภาพอากาศด้วย ทางชัน ที่ชันจนท้อ บางช่วงก็ชันจัง บางช่วงก็ชันกำลังดี บางช่วงมีร่องรอยการเดินที่ขึ้นเป็นขั้นบันไดทำให้เราเดินง่ายและมันจะชันไปเรื่อยๆ เพียงแค่ค่อยๆ เดินก็จะผ่านไปได้ โขดหิน ที่ดูแล้วเหมือนจะโหดแต่สำหรับเรากลับชอบตรงนี้มากที่สุด พอได้ปีนป่ายแต่ก็เดินง่าย ได้เห็นวิว โดนลมบ้างหลังจากเดินซุ่มอยู่ในร่มไม้มาตลอดทาง ซึ่งเราจะผ่านโขดหินนี้กัน 3 ช่วง จากนั้นจะเห็นป้ายแห่งความหวัง ความว่า " 500 เมตรถึงแคมป์" "แคมป์ 500 ม." ตรงนี้จำได้ความรู้สึกได้ดีเลย เป็นช่วงที่ทรมานทั้งกายและใจที่สุดของเรา เพราะถึงแม้มันจะเป็นสัญญาณที่ดีว่าใกล้จะถึงแคมป์แล้ว แต่มันกลับเป็นระยะทางที่ไกลที่สุดจากทั้งหมดที่เดินมา พอหมดโขดหิน เขาเหมนก็หลอกให้เราดีใจว่าคงหมดทางชันเเล้ว จากที่ยิ้มร่าเห็นป้าย กลับต้องหุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นเส้นทางที่ต้องไปต่อ มันยังชันได้อีก ชันไม่หมดสักทีโว้ยยและทำได้แค่ก้มหน้าเดินต่อไป "ถึงแล้ว แคมป์ที่รัก ฉันเดินมานานเหลือเกิน" ทางขึ้นแคมป์แหละ ที่แคมป์จะกางเต็นท์ก็ได้ พอมีที่ราบอยู่ ถ้าขึ้นมาทันนะ แต่จะผูกเปลก็ดีแล้วแต่สะดวก จากแคมป์เราเดินขึ้นยอดกันอีกไม่ไกล ผ่านทางชันจะเจอแยกซ้ายขวา ชมพระอาทิย์ตกและขึ้นกันคนละฝั่ง ที่เขาว่า ป่าดึกดำบรรพ์ นั้นเดินไปทางชมพระอาทิตย์ตกเลย เขาเหมนของเราวันที่ 23-24 เมษายนที่ผ่านมา ระหว่างเดินตั้งแต่เช้าจนถึงแคมป์อากาศดี ฟ้าเปิดไม่มีแววว่าฝนจะตก แต่ก็นะ อะไรก็เกิดขึ้นได้กับป่าใต้ที่เขาว่าอากาศแปรปรวนเสมอ กางเต็นท์ได้พักเดียวราว บ่ายสอง บ่ายสามฝนก็ตกๆ หยุดๆ จนหมอกฟุ้งไปทั่วแคมป์ หมดความหวังจะได้เห็นแสงเย็นอย่างที่ตั้งใจมา และก็ตกอยู่อย่างนั้นจนมืดและหยุดไปตอนไหนจำไม่ได้ แต่จำได้ว่าเริ่มทำใจเเล้วหากพรุ่งนี้เช้ายังตกและหากฟ้าจะปิด วันสุดท้ายก่อนลาเธอ "เขาเหมน" เช้านี้ไม่มีเเสียงฝนกระทบเต็นท์เหมือนตอนหลับไป ใจเริ่มมีหวัง แล้วเขาเหมนเช้านี้ก็มอบสิ่งนี้ให้พวกเรา ปล.ฝั่งพระอาทิตย์ขึ้น เดินมาฝั่งพระอาทิตย์ตกผ่านป่าดึกดำบรรพ์ ที่ต้นไม้สูงท่วมหัวเหมือนอยู่ในอุโมงค์ จนค่อยๆ เดินขึ้นมายังยอดที่ต้นไม้สูงท่วมเข่า จนเราเห็นวิวตรงหน้าทั้งหมดที่เต็มไปด้วย ทะเลหมอก ทิวเขาและแสงเช้า มันเต็มไปไกลจนสุดสายตา มันสวยจนลืมว่าแสงเย็นที่อยากมาดูนั้นเป็นอย่างไร น้องไกด์ พี่ไกด์ท้องถิ่นต่างบอกเหมือนกันว่าปกติเขาเหมนไม่ค่อยมีทะเลหมอกแบบนี้นะ เลยทำให้เรา รู้สึกโชคดีไปอีกแบบที่ได้มาเจอทะเลหมอกปังๆ ในระยะที่ใกล้สายตามากๆ เช่นนี้ พอดื่มด่ำบรรยากาศกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ลงไปแคมป์ กินข้าวเช้าและเก็บเต็นท์พร้อมเดินลงและขาลงนี่แหละ ทำเอาขาสั่นเพราะทั้งต้องเกร็ง ต้องจิกรับน้ำหนักจากสัมภาระที่แบกอยู่เต็มหลัง แต่ขาลงนี้เราใช้เวลาเร็วกว่าตอนขึ้นตั้ง ครึ่งชั่วโมงนะ / ฮาาาา สุดท้ายกับเขาเหมนที่เป็นการอัพเลเวลการเดินป่าของเรามากๆ เรามั่นใจกับการแบกและศักยภาพของตัวเองมากขึ้น ได้เห็นจังหวะ ลมหายใจของตัวเองและก้าวแต่ละก้าวของตัวเองที่พาเราขึ้นไปถึงยอด ฟ้าฝนที่ไม่เป็นใจ ไร้การควบคุม สอนให้เราต้องรับมือทุกความเปลี่ยนแปลง เพราะฟ้าฝนก็เช่นนี้ สิ่งที่ได้มากกว่าความสวยงามของธรรมชาติ มากกว่าสถานที่ที่ได้มาพิชิต คือความรู้สึกที่ได้จากธรรมชาตินั้น สายลมนั้นและแสงแดดอุ่นๆ นั้น มันทำให้เรารู้สึกเช่นไรกับการเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ยืนอยู่บนยอดเขาที่ยังมียอดเขาอีกหลายลูกอยู่ตรงหน้า พระอาทิตย์ขึ้นที่ชัดเจนกว่าเดิม ใกล้กว่าเดิมจากที่ที่เคยอยู่ ราวกับว่าเราเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ได้สัมผัสแสงแรกนั้นก่อนใคร ทะเลหมอกที่ทอดรับเงาของยอดเขาอีกลูก ทั้งหมดนี่รึป่าวที่เรียกว่า Art of God ทุกอย่างเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่มันเหมือนกับมีใครมาวาดรูปไว้ แต่รูปนั้นกลับมีชีวิต เคลื่อนไหวได้ราวมีเวทย์มนต์ที่สะกดให้เราต้องหาเขาแล้วเขาเล่า เพื่อพาตัวเองไปลำบาก ลำบน มีความสุขกับความเหนื่อยนี้อีกครั้ง เครดิตรูปปกและประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !