เรื่องมันเกิดเพราะตั้งใจแค่จะเดินเล่นรอบทะเลสาบชิลล์ ๆ ก่อนจะไปสักการะวัดพระเขี้ยวแก้วที่ตั้งอยู่บริเวณนั้น แต่เพราะกะระยะผิด ทำให้ฉันรู้สึกว่าทะเลสาบแคนดี้ กว้างใหญ่กว่าที่คิดสักสองเท่า! ทะเลสาบแคนดี้ (Kandy Lake) ที่ฉันพูดถึง คือแลนด์มาร์คของเมืองแคนดี้ (Kandy) เมืองที่ฉันวางแผนใช้เป็นแก่นกลาง ก่อนเดินทางออกท่องเที่ยวไปยังเมืองต่าง ๆ ของศรีลังกาที่รายรอบ ฉันกับเพื่อนร่วมทางเพิ่งมาถึงศรีลังกา คืนแรกอาศัยซุกหัวนอนที่เมืองหลวงโคลอมโบแค่พอผ่าน ๆ ตื่นแล้วรีบจับรถไฟเที่ยวเช้า ออกจากสถานีรถไฟโคลอมโบมาแคนดี้เลย บนรถไฟชั้นสามที่คนแน่นจนต้องยืนบ้างนั่งบ้าง ฉันกับเพื่อนเม้ามอยกับแบคแพคเกอร์หนุ่มสาวจากอินเดียอยู่ราวสามสี่ชั่วโมงก็มาถึงปลายทาง ชานชาลาสถานีรถไฟแคนดี้อัดเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวนานาชาติ อาจเพราะสถานีรถไฟอยู่ใกล้สถานีรถบัสด้วย ใครจะไปไหนมาไหนก็ต้องมากองรวมกันแถวนี้ เราร่ำลาเพื่อนใหม่ร่วมทาง แล้วลากกระเป๋าฝ่าฝูงชนสับสนวุ่นวายมายังที่พักนอกเมือง แคนดี้เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของศรีลังกา อยู่ห่างจากเมืองหลวงโคลอมโบ ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 115 กม. แม้ไม่ใช่เมืองหลวงปัจจุบัน แต่ฉันแอบยกให้เป็นเมืองหลวงแห่งการท่องเที่ยว เปรียบแคนดี้ก็คงประมาณพระนครศรีอยุธยาบ้านเรา คือมีความเป็นอดีตราชธานีเก่าอันรุ่งโรจน์ ชื่อแคนดี้นั้นไม่มีอะไรเกี่ยวกับลูกกวาดหรือขนมเลย แต่มาจากคำว่า Kanda หรือ "ขันธะ" เป็นภาษาสิงหล ที่แปลว่ากองหินหรือเนินเขา เพราะเมืองนี้ตั้งอยู่บนที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 500 เมตร เมื่ออังกฤษเข้าครอบครอง ชื่อขันธะก็แปรเปลี่ยนเพี้ยนให้ฝรั่งเรียกง่าย กลายเป็นแคนดี้ อย่างที่รู้ว่าคนไทยมาศรีลังกาเหมือนมาเจอญาติสนิท เพราะเรามีความใกล้ชิดกันมาตั้งแต่โบราณกาล สื่อกลางที่กระชับความผูกพันธ์ที่สุดคือพุทธศาสนา แคนดี้เป็นเมืองศูนย์กลางศาสนาพุทธ ไฮไลท์สูงสุดสำหรับคนไทยที่ได้มาเมืองนี้ จึงอยู่ที่การได้มาสักการะพระทนต์ของพระพุทธเจ้าหรือ “พระเขี้ยวแก้ว” ณ วัดศรีดาลาดา มัลลิกาวาส (Sri Dalada Maligawa) เรียกสั้น ๆ ประสาคนไทยว่า “วัดพระเขี้ยวแก้ว” ซึ่งการสักการะพระเขี้ยวแก้วนี้เขาแบ่งออกเป็นวันละสามรอบ 05.30 - 07.00 น., 09.30 - 11.00 น. และ 18.30 น.- 19.45 น. เราตั้งใจจะไปสักการะพระเขี้ยวแก้วรอบเย็น เมื่อเช็คแผนที่แล้วพบว่าวัดตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบแคนดี้ จึงออกเดินเท้าจากที่พักมาเดินเล่นยังทะเลสาบก่อนเวลาไม่มาก เมื่อมาเห็นทะเลสาบเต็มสองตา ฉันแอบรู้สึกว่าทะเลสาบนี้คือลมหายใจแห่งเมืองแคนดี้ แบบเดียวกับที่ทะเลสาบคืนดาบเป็นหัวใจของฮานอย ผู้คนวนเวียนใช้ชีวิตอยู่ตามบาทวิถีโดยรอบ นี่น่าจะเป็นสถานที่ทั้งพักผอนหย่อนใจ พบปะนัดหมาย และออกกำลังกายของชาวเมือง ทะเลสาบแคนดี้นี้ไม่ได้เกิดเองตามธรรมชาติ แต่คืออ่างเก็บน้ำขนาดยักษ์ใจกลางเมืองที่มนุษย์ขุดขึ้นมา พระเจ้าศรีวิกรมราชสิงหะโปรดให้ขุดสระมหึมานี้ในปี 1807 ด้วยพระราชประสงค์จะสร้างวังพักผ่อนกลางทะเลสาบ กลางทะเลสาบที่เป็นเกาะน้อย ปัจจุบันเป็นสวนดอกไม้ ข่าวว่าในอดีตทรงสร้างเพื่อตั้งใจจะให้เป็นฮาเร็มส่วนพระองค์ ฉันอ่านเจอว่าน้ำในทะเลสาบระดับลึกที่สุด 18 เมตรและมีความยาวโดยรอบถึง 3.4 กิโลเมตร การเกณฑ์แรงงานประชาชนมาขุดสระน้ำมหึมาในสมัยนั้น เพียงเพื่อความสำราญของผู้ปกครองนคร สร้างความไม่พอใจให้ชาวเมืองถึงกับลุกขึ้นต่อต้าน แต่แทนที่จะเห็นอกเห็นใจพสกนิกร ชนกลุ่มน้อยที่กล้าต่อกรกลับถูกส่งลงไปฝังอยู่ก้นทะเลสาบ อ่านประวัติการสร้างมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกเสียววาบ ให้มาเดินเล่นตอนดึกๆ คงไม่เอาแน่ เพราะมาจากกรุงเทพ ฯ ที่แสนวุ่นวาย เดินไปทางไหนก็มีแต่ฝุ่นควัน การเข้าถึงธรรมชาติในกรุงเทพ ฯ นั้นไม่ง่าย อย่างเก่งก็พยายามพาตัวไปตามสวนสาธารณะ ฉันจึงชื่นชมและแอบอิจฉาทุกครั้งที่พบว่าเมืองไหน มีที่ทางแสนสบายให้ผู้คนได้เข้าถึงความเป็นธรรมชาติได้ทุกเมื่อ ถนนรอบทะเลสาบแคนดี้เป็นบาทวิถีขนาดกว้างเดินได้อย่างสบาย ตลอดเส้นทางคือความร่มรื่นสดชื่นของหมู่ไม้ วิวทิวทัศน์บ้านเรือนมองไปก็งดงาม มีเก้าอี้ให้นั่งชิลล์ ทอดสายตาดูวิถีชีวิตผู้คนเพลิน ๆ ฉันบอกเพื่อนว่าเวลายังมี เดินเล่นรอบทะเลสาบคงจะดีนะ จึงเลือกเดินไปทางขวา กะว่าสุดทะเลสาบก็เลี้ยววนกลับคงไม่ไกล อากาศเมืองนี้ก็ดีเป็นใจ เราจึงเดินไปเรื่อย ๆ ไม่เร่งรีบ แวะถ่ายรูปไปตลอดทาง ชมนกชมไม้อย่างสำราญเป็นที่สุด มีจุดพักให้แวะถ่ายรูปหลายจุด ใครที่อยากใช้เวลาแบบสโลว์ไลฟ์ เดินไปชิลล์ไปนี่คือที่ ๆ คุณจะไม่ผิดหวัง แดดเริ่มร่มลมเริ่มตก ฝูงนกพากันบินกลับรังโชว์ให้เราชม ท้องฟ้าใกล้ค่ำเหนือทะเลสาบในช่วงตะวันลับฟ้างดงามจับใจ แต่เดินไปชมวิวไป เอ๊ะ! ทำไมชักไกล ไม่สุดทะเลสาบให้วนรอบกลับเสียที ความชิลเริ่มหดหาย เมื่อทางเดินยังพาเราเดินไหลไปเรื่อย ๆ ฉันยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา เกรงจะไปวัดพระเขี้ยวแก้วไม่ทันรอบ อันที่จริงระยะทาง 3.4 กิโลเมตรก็ไม่ได้ไกล แต่คงเป็นเพราะรู้สึกร้อนใจ ยิ่งเดิน ๆ ไป ฉันจึงรู้สึกว่าทะเลสาบแคนดี้ใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดก็หมดเวลาสโลว์ไลฟ์ เราชวนกันจ้ำเดินให้ไว กว่าจะเดินมาสุดทะเลสาบได้เล่นเอาหอบ แต่แม้จะกะระยะทางและเวลาผิดไป เลยชิลล์ได้แค่ครึ่งทาง (ที่เหลือกระหืดกระหอบ) ฉันก็ยังชอบความรู้สึกวันนั้นอยู่ดี และถึงประวัติการสร้างไม่ค่อยน่าอภิรมย์ แต่ทะเลสาบแคนดี้ ที่เรียกอีกชื่อว่า “ทะเลน้ำนม (Milky Sea)” แห่งนี้ ก็พลิกโฉมใจกลางเมืองแคนดี้ ให้กลายเป็นภาพงามของธรรมชาติที่แสนรื่นรมย์สำหรับชาวเมือง จึงนอกจากสักการะพระเขี้ยวแก้วเป็นมงคลกับชีวิตชาวพุทธแล้ว ใครมีโอกาสไปเที่ยวเมืองมรดกโลกเมืองนี้ แนะนำว่าควรหาเวลาไปเดินเล่นรอบทะเลสาบแห่งนี้สักครั้ง (เรื่อง/ภาพ : Miss Me)