ถ้าพูดถึงศาลเจ้าฟูชิมิอินาริแล้วละก็ ภาพแลนด์มาร์คที่มักจะปรากฏขึ้นในความคิดของใครหลาย ๆ คน คงหนีไม่พ้นเสาโทริอิสีแดงสดเป็นพัน ๆ ต้นที่ตั้งเรียงรายทอดตัวยาวติด ๆ กันขึ้นไปตามแนวภูเขากับรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์หรือตัวแทนของท่านเทพอินาริ เราเองก็เป็นหนึ่งในบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายที่ฝันอยากจะถ่ายรูปสวย ๆ ใต้ซุ้มเสาโทริอิสักครั้งหนึ่งในชีวิตและอยากจะลองเดินขึ้นเขาอินาริเพื่อไปสูดอากาศบริสุทธิ์กับชมวิวแบบพาโนรามาจากด้านบนภูเขาดูบ้าง แต่ไม่รู้ว่าเพราะความบังเอิญหรือนี่อาจจะเป็นความประสงค์ของท่านเทพอินาริ (คิดเองเออเองทั้งนั้น) ที่ทำให้เราได้พบกับประสบการณ์ที่คาดไม่ถึงเราออกเดินทางจากสถานีเกียวโตด้วยรถไฟรอบแรกตอนราว ๆ ตีห้าครึ่งเพราะตั้งใจว่าจะรีบไปให้ถึงโดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะได้สัมผัสกับแสงแรกอันอบอุ่นของพระอาทิตย์ยามเช้า และจะได้มีเวลาถ่ายรูปเสาโทริอิกับบริเวณรอบ ๆ ศาลเจ้าแบบสวย ๆ ได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องไปต่อสู้แย่งชิงและยืนเบียดเสียดกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ แต่สิ่งที่คิดกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนั้นช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว เนื่องจากเรามาเที่ยวช่วงต้นเดือนธันวาคมซึ่งเริ่มเข้าหน้าหนาวแล้วและก็เป็นช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นช้า ตอนที่เราเดินทางไปถึงมันจึงยังมืดอยู่ มีแสงไฟส่องสว่างแค่บริเวณหน้าสถานีกับตรงประตูใหญ่ด้านหน้าศาลเจ้าที่มีโคมไฟไม่กี่อันแขวนไว้เท่านั้นหลังจากเดินผ่านประตูใหญ่เข้ามาก็ตั้งใจว่าจะลองเดินไปดูบริเวณที่ตั้งซุ้มเสาโทริอิก่อนสักหน่อย แต่เราดันหาทางขึ้นไม่เจอแล้วบริเวณนั้นก็มีแค่หลอดไฟหลอดเล็ก ๆ เปิดไว้ไม่กี่ดวง ส่วนคนที่เดินตามไล่ ๆ กันมากับเราก่อนหน้านี้ที่เห็นว่ามีอยู่คนหรือสองคนก็หายไปไหนแล้วไม่รู้ ความลังเลเริ่มคืบคลานเข้ามาเราได้แต่ละล้าละลังหันซ้ายหันขวาเดินหน้าถอยหลังยังกับตอนเรียนเต้นลีลาศสมัยมัธยม ขณะที่คิดว่าจะเอายังไงต่อดีก็มีคุณป้าท่านหนึ่งเดินดุ่ม ๆ ขึ้นเขาหายไปเลย เราได้แต่ร้องในใจว่าคุณป้ารอหนูก่อนหนูขอไปด้วยแล้วเราก็รีบตามไปติด ๆ โชคยังดีที่เดินตามทันเราก็เลยเดินตามหลังคุณป้าท่านนั้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงซุ้มเสาโทริอิอันโด่งดัง ลองหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปดูแต่ถ่ายยังไงก็ถ่ายไม่รอดเพราะมันมืดมากก็เลยตัดสินใจเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าจัดเสื้อผ้ารองเท้าให้เข้าที่สูดหายใจลึก ๆ อีกหนึ่งทีแล้วตั้งหน้าตั้งตาเดินขึ้นเขาไปเลยบนภูเขามีไฟติดไว้เป็นช่วง ๆ ทำให้เดินได้ไม่ลำบากนัก พอเดินกันไปเรื่อย ๆ คุณป้าที่อยู่ข้างหน้าก็หยุดพักแล้วหันมาบอกให้เราเดินนำไปก่อนได้เลย เราเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นสมัยมหาลัยก็เลยพอเข้าใจคำง่าย ๆ บางคำ มืดก็มืดแล้วมาบอกให้เราไปก่อนอีก จะทำเนียนขอหยุดพักบ้างก็เก้ ๆ กัง ๆ สุดท้ายไม่รู้จะทำยังไงดีก็คิดว่าเอาวะเดินไปก่อนแล้วกันถ้ามีอะไรก็ค่อยเผ่นลงมาทางเดิมนี่แหละ พอเดินขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ ปรากฏว่าเราเริ่มเจอกับคนที่เดินสวนลงมาทีละคนสองคน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุดูจากเสื้อผ้าที่ใส่แล้วน่าจะมาเดินขึ้นเขาออกกำลังกายตอนเช้ากัน เราก็เริ่มรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย ตอนเดินสวนกันเขาก็มีมาพูดทักทาย "โอฮาโยโกไซมัส" เราก็ส่งคำทักทายตอบกลับไปพอเดินไปได้สักพักใหญ่ ๆ ขาเริ่มสั่นไม่ไหวก็เลยต้องค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงจากที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินก็เปลี่ยนมาเป็นเดินไปแล้วก็สำรวจบริเวณรอบ ๆ ไปอย่างช้า ๆ ตรงไหนมีศาลเจ้าก็หยุดแวะพักเดินเข้าไปดูบ้าง เราเดินตามป้ายจนไปถึงด้านบนสุดของภูเขาเดินไปเดินมาฟ้าเริ่มสว่างคนก็เริ่มมา ตอนขาลงเหมือนเราจะหลงทางเพราะเดินวนกลับไปกลับมาที่เดิมอยู่สองสามรอบ เราก็ว่าเราเดินตามป้ายแล้วนะทำไมไม่ถึงข้างล่างสักที สุดท้ายไม่ไหวแล้วเหนื่อยมากอยากลง ถ้าเดินตามป้ายไม่รอดก็ไม่ต้องดูมันละเราเห็นใครลงไปทางไหนเราก็เดินลงตามเค้าไปเลย เดินไปเดินมาไม่รู้อีท่าไหนอีกคนที่เดินนำหน้าก็หายไปเฉย (คนที่นี่หายตัวกันเก่งมากหรือเขาจะเป็นนินจากันนะ)จากแผนที่วัดจะเห็นว่าถ้าลงถูกทางก็จะได้เดินย้อนกลับไปที่ซุ้มเสาโทริอิ ขาขึ้นเดินเข้าไปตามซุ้มเสาโทริอิทางฝั่งขวาส่วนขาลงจะกลับออกมาจากซุ้มเสาโทริอิทางฝั่งซ้าย แต่ตอนที่เราเดินลงมาเราแทบไม่เห็นเสาโทริอิเลย เห็นเป็นเหมือนเขตที่มีคนพักอาศัยมากกว่า มีคนออกมากวาดใบไม้บ้างคุยกันบ้าง จากรอบ ๆ ที่เคยเป็นป่ากับเสาโทริอิก็กลายเป็นถนนเส้นเล็ก ๆ ที่ฝั่งหนึ่งเป็นบ้านอีกฝั่งเป็นศาลเจ้าบ้างร้านค้าบ้างหรือเป็นที่ตั้งของรูปปั้นหินแปลก ๆ บ้าง เราเดินลงไปเรื่อย ๆ จนไปเจอประตูทางเข้าที่อยู่ทางด้านข้างของศาลเจ้า ที่คิดว่าเป็นประตูข้างเพราะพอเดินผ่านประตูออกมาเรายืนอยู่บริเวณทางด้านซ้ายมือของบันไดทางขึ้นศาลเจ้า และเพราะตอนมาถึงทีแรกมันมืดมากเราเลยต้องเดินวนกลับขึ้นไปที่ซุ้มเสาโทริอิใหม่อีกรอบเพื่อถ่ายรูป เราใช้เวลาทั้งหมดประมาณสามชั่วโมงกว่าในการเดินขึ้นลงเขาแล้วก็แวะถ่ายรูปเนื่องจากตอนที่เดินขึ้นเขามันค่อนข้างมืดเราต้องคอยมองทางระวังไม่ให้สะดุดล้มหรือเกิดอุบัติเหตุเลยไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้ รูปที่มีส่วนใหญ่เลยเป็นรูปภาพศาลเจ้าหรืออาคารสถานที่ต่าง ๆ ที่เราเจอตามทางระหว่างเดินลงเขาในช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว สำหรับเราการเดินขึ้นเขาอินาริตอนตีห้าแบบงง ๆ ได้กลายเป็นประสบการณ์ดี ๆ ที่น่าจดจำ ตอนที่เดินอยู่บนเขาเราไม่ได้คิดหรือนึกถึงอะไรเลยนอกจากตอนดูป้ายบอกทางแล้วคิดว่าตัวเองจะหลงหรือเปล่าเท่านั้น เราได้ใช้เวลากับตัวเองทำให้สมองปรอดโปร่งโล่งสบายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เราถูกโอบกอดด้วยธรรมชาติอากาศเย็น ๆ กลิ่นสดชื่นของต้นไม้ เสียงธารน้ำไหลเบา ๆ เราโฟกัสอยู่กับแค่การเดิน เอ็นจอยกับความรู้สึกเหนื่อยที่ทำให้ต้องหยุดพักแล้วสูดหายใจหนัก ๆ เพื่ออัดอากาศเข้าไปให้เต็มปอดและความรู้สึกล้าจนขาแข็งแต่ก็ยังคงอยากที่จะเดินหน้าต่อไปถึงจะเดินไปด้วยขาสั่น ๆ ก็ตาม ทุกอย่างที่เกิดขึ้นรวมกันมันทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจเราสงบถ้าเราไม่ได้ขึ้นรถไฟรอบแรกตอนตีห้าครึ่งจากสถานีเกียวโตมาที่นี่เราคงพลาดโอกาสที่จะได้สร้างวันดี ๆ ที่มีความหมายให้กับตัวเอง และเราก็คงไม่ได้เห็นความสวยงามอีกด้านของสถานที่แห่งนี้ที่ไม่ได้มีแค่เพียงเสาโทริอิกับรูปปั้นสุนัขจิ้งจอก แต่ยังมีสิ่งอื่นที่ซ่อนอยู่อย่างพลังแห่งธรรมชาติของขุนเขาที่ช่วยบรรเทาและเยียวยาจิตใจ ความน่ารักของบรรดาผู้สูงอายุทั้งหลายที่กล่าวคำทักทายกับคนแปลกหน้าตอนที่เดินสวนกัน และวิถีชีวิตของคนในท้องที่ที่ทำให้เรารู้สึกว่าภูเขาอินาริเป็นเหมือนกับสวนเล็ก ๆ น่ารักหลังบ้านที่ทุกคนสามารถใช้เป็นที่ออกกำลังกายร่วมกันในตอนเช้าได้รูปภาพทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียนแชร์ที่เที่ยวใหม่ๆ ไม่ว่าจะเที่ยวสายไหนก็มาแวะแชร์กับทรูไอดีคอมมูนิตี้ “เที่ยวไปให้สุด”