ประสบการณ์ระหว่างทางบางทีก็มีค่ากว่าจุดหมายปลายทางเป็นคำกล่าวที่ผลักดันให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ 2 คน เลือกการเดินทางด้วยรถไฟไป จ.กาญจนบุรี โดยไม่ได้รู้เลยว่า การอยู่รังสิต จะต้องข้ามเมืองไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟธนบุรี! และต้องไปให้ทันเวลาด้วยนะ!หลังจากที่มีผู้คนได้รีวิวการเดินทางด้วยรถไฟมากมายหลายบล็อก ทำให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ 2 คน ใฝ่ฝันที่จะได้ออกเดินทางไปสักที่ด้วยรถไฟบ้าง และกาญจนบุรี ก็เป็นตัวเลือกที่ดี ไม่ใกล้ และไม่ไกลเกินไป ยังไม่ต้องนอนไป (จริง ๆ ก็อยากลองนอนไปเหมือนกันนะ เป็นอีกแพลนที่คิดไว้ต้องทำสักครั้ง) เมื่อตัดสินใจได้ก็เลยเลือกที่นี่แหละ พวกเราเริ่มต้นด้วยการนัดวันที่จะไปก่อน พอตกลงกันได้ ก็เริ่มหาตารางรถไฟไปกาญจนบุรีและพบว่า มัน ไม่ ผ่าน สถานีรถไฟรังสิต!จ้ะ งานเข้าและ ต้องไปขึ้นไหนนะหัวลำโพงเหรอไม่ใช่จ้ะ ธนบุรี 😱😱😱ไปไงล่ะทีนี้นัดเพื่อนที่กาญจนบุรีไว้แล้วด้วยขอดู google map เป็นที่พึ่งก่อนนะหลังจากเสิร์ชหาสถานีรถไฟธนบุรีได้แล้วพบว่า มันอยู่ใกล้ ๆ ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์! เราจึงวางแผนไปขึ้นรถไฟให้ทันรอบ 13.55 น.เริ่มทริปด้วยการนั่งพี่วินไป ธรรมศาสตร์รังสิต ลงที่ท่ารถตู้ เลยประตูเชียงรากเข้าไป ประมาณ 300 เมตรจะเจอ รถตู้ วิน ธรรมศาสตร์รังสิต-ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ตั้งใจไปให้ทันเผื่อเวลาสัก 3-4 ชั่วโมงเพราะไม่รู้ว่าจะต้องไปเจออะไรบ้าง รถจะติดไหม ข้ามเมืองไปวันธรรมดาแบบนี้ เลยเลือกขึ้นรถ เที่ยว 9.00 น. และเสียค่าเดินทางเบา ๆ 40 บาท/คนประมาณ 1 ชม. ก็มาถึง ท่าพระจันทร์อย่างราบรื่น ถ้ามาช่วงเช้าอาจจะเจอรถติดบ้าง จะใช้เวลามากกว่า 1 ชม. หากจะต้องรีบไปทำธุระแนะนำเผื่อเวลาประมาณ 2 ชม. กำลังดีค่ะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เรา 2 คน เลยแวะกินข้าวเช้า+กลางวัน ในโรงอาหาร ธรรมศาสตร์ ที่อยู่ติดริมแม่น้ำ มีอาหารให้เลือกหลากหลาย ราคาย่อมเยา เลือกที่นั่งติดริมแม่น้ำได้เลย ฝั่งตรงข้ามจะเป็นท่าน้ำวังหลัง เนื่องจากเวลาค่อนข้างเหลือ เราเลยคว้ากล้องออกมาถ่ายรูปเล่นภายในมหาวิทยาลัยได้สักพักนึงหลังจากนั้นก็เดินออกประตูฝั่งท่าพระจันทร์ไปขึ้นเรือที่ท่าเรือท่าพระจันทร์ ออกจากประตูเลี้ยวขวาเจอเลยเราจะข้ามไปที่ท่าเรือวังหลังจ้าปล. ค่าเรือข้ามฟากคนละ 3.50 บาทออกจากท่าเรือวังหลังได้ก็เปิด gps ที่พึ่งหนึ่งเดียวในเวลานี้ของเรา 2 พอเดินลงจากเรือแล้ว gps ก็พาเราหลงเข้าไปในตึก ขายของ ที่มี food center ซึ่งสำหรับคนไม่เคยมาอย่างเรา บอกเลย งง มาก และ gps ก็นำทางให้เราไปเจอทางตัน เหมือนให้เดินทะลุกำแพงสิ คุณจะออกได้? เราเลยต้องถามแม่ค้าภายในตึกและได้คำตอบว่า ทางออกที่เราจะออกได้คือ ทางที่เราเข้ามา! วนกลับไปจ้ะในที่สุดเราก็เดินออกมาสู่ถนนอีกครั้ง ที่มีแม่ค้าแผงลอยขายของกินตลอดทาง ทุกอย่าง น่ากินมากกก แต่ด้วยความอิ่มก็ต้องตัดใจ เราเดินเลาะผ่านตลาดไปตามทางที่ gps แนะนำ ข้ามถนนใต้สะพาน และเข้าไปในซอยลัด ประมาณ 12 นาที ก็มาถึง สถานีรถไฟธนบุรี 🚂 จนได้ ด้วยสภาพร้อนมาก และเหงื่อท่วมตัว แต่ก็ถือว่าเป็น mission complete สำหรับภารกิจการเดินทางมาขึ้นรถไฟให้ทันเวลา ซึ่งก็ต้องมานั่งรออีก 1 ชม. เลยแหละพอมาถึงแล้วสามารถซื้อตั๋วแล้วบอกไปสถานีนำ้ตกได้เลย คนละ 25 บาท เบา ๆ (แอบยืมงงพักนึงตอนพนักงานขายตั๋วแจ้งว่า 25 บาท เพราะหาข้อมูลมานึกว่า 120 บาทที่เป็นรถไฟนำเที่ยว) แต่เราเลือกลงที่แควใหญ่แทนสถานีน้ำตกเพราะเรานัดเพื่อนไว้ที่นั่น แอบหมายมั่นในใจว่าเราจะต้องไปสถานีน้ำตกให้ได้อีกสักครั้งทริปหน้าเจอกันนะ น้ำตกเมื่อรถไฟมาถึงเราสามารถจับจองที่นั่งได้ตามใจชอบเลยจ้า ยกเว้นขบวนสุดท้ายที่เป็นขบวนของเจ้าพนักงานรถไฟทั้งตู้ แต่สามารถขอไปถ่ายรูปรางรถไฟท้ายขบวนได้นะ ได้วิวสวยงามไปอีกแบบวิวระหว่างทาง ดีงามมาก การได้นั่งมองวิวที่วิ่งผ่านหน้าเราไป แต่ละอำเภอ แต่ละจังหวัด เหมือนเราได้ปล่อยใจให้ว่าง ไมต้องคิดอะไร แค่มองความเขียวของท้องนา มองความสงบของวัด มองเห็นวิถีชีวิตผู้คน ที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ เป็นชีวิตเรียบง่ายธรรมดา ก็มีความสุขดี ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยบนรถไฟที่เราอยากจะสัมผัสเพราะรีวิวของคนอื่น ๆ ที่ขึ้นรถไฟก็คือ แม่ค้าขายของในแต่ละสถานีจะมีแม่ค้าขึ้นมาเป็นระยะ แต่เนื่องจากเราแวะตลาดวังหลังมาพอสมควร เลยไม่ได้ซื้อแม่ค้าบนรถไฟเท่าไหร่ เลยไม่กล้าขอถ่ายรูปด้วย😅 ใครได้ไปก็ไม่ต้องกลัวหิวนะ มีของกินตลอดทางแน่นอนรวม ๆ แล้วการเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างสั้นมาก แต่ก็ได้เจอเรื่องตื่นเต้นเรื่องหนึ่ง ระหว่างที่เรานั่งกัน กินลม ชมวิว แบบผู้หญิง ร่าเริง 2 คนก็เริ่มได้กลิ่นแปลก ๆ จากเบาะด้านหลัง เลยพยายามยืนขึ้นไปดู ว่าเป็นกลิ่นอะไรกันแน่ นี่เหม็นเวียนหัวมาก และอยู่ต้นลม พบว่า เป็นกลิ่นคนเมาที่ไม่อาบน้ำ และดูเหมือนจะกินเหล้าไปเรื่อยด้วยในระหว่างทางทำยังไงดี เหม็นก็เหม็น อยากย้ายที่ก็น่าจะยาก เพราะเนื่องจากวันนี้มีผู้โดยสารต่างชาติขึ้นรถไฟเยอะมาก น่าจะมาเป็นคณะทัวร์ และเรามั่นใจว่าไม่ได้พูดภาษาอังกฤษแน่ ซึ่งน่าจะสื่อสารกับเขาไม่รู้เรื่อง และไม่รู้จะบอกเขายังไง และที่นั่งเต็มหมดทุกที่แล้ว เลยตัดสินใจลองหาข้อมูลก่อนว่าบนรถไฟกินเหล้าได้ไหม เราเจอว่าบนรถไฟห้ามกินเหล้าและสามารถแจ้งพนักงานได้เลย เราเลยไปแจ้งพนักงานรถไฟเจ้าพนักงานเลยไปบอกกับชายคนนั้นให้ลงในสถานีหน้า ซึ่งทำให้เราโล่งอก และนั่งรถไฟอย่างมีความสุขมากขึ้นและในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมายปลายทาง เราลงกันที่สะพานแควใหญ่เพราะว่านัดเพื่อนมารับที่นี่ และวันนี้เราจะพักแถว ๆ นี้กันจบทริปเดินทางด้วยรถไฟของเราที่นี่จ้า จริง ๆ รถไฟสามารถไปถึงสถานีรถไฟน้ำตกได้เลย แถวสะพานแควใหญ่มีพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ให้เดินเที่ยวได้อยู่นะ 😀 เนื่องจากเราไปในวันธรรมดา คนที่มาที่นี่เลยไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ แต่ว่าควรเตรียมค่าเข้าไปด้วยไม่งั้นก็จะติดแหง็กอยู่ด้านหน้า แต่ก็มีรถไฟให้ถ่ายรูปสวย ๆ อยู่นะ และที่ชอบมากคือบริเวณสถานีมีการเล่นดนตรีด้วย แต่ไม่ใช่อารมณ์ดนตรีสดประมาณนั้นนะ น่าจะเป็นผู้คนที่อยู่แถว ๆ นั้น ออกมาเล่นกันเอง สนุกดี และดูเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวทุกคนรวมตัวกันถ่ายรูปที่สะพานรถไฟ (เรียกชื่อเล่นเอง) ซึ่งคุณจะหาที่ถ่ายเซลฟี่ตัวเองยากมาก เพราะมันเต็มไปด้วยผู้คน ที่มาจากประเทศอื่นเกิน 80% ถ้าคุณยังคงอยากจะถ่ายรูปคู่กับสะพาน แนะนำให้เดินลงบันไดที่อยู่ทางด้านขวามือ ที่เขียนว่าทางไปห้องสุขา คุณก็จะได้พบกับมุมมองใหม่ที่มองเห็นทั้งสะพาน และเซลฟี่ได้ตามใจชอบ โดยไม่มีผู้คนรบกวน แถมยังได้วิวแม่นำ้สวยงามอีกด้วยสุดท้ายคงต้องย้อนกลับมาคิดอีกครั้งว่าการเดินทางครั้งนี้ได้ให้ประสบการณ์อะไรกับเราบ้าง1. เราได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำ อย่างการเดินทางข้ามจังหวัดกันแค่ผู้หญิง 2 คนซึ่งเราไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนและไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง2. เราได้เห็นว่ามีชาวต่างประเทศมากมายที่ชอบมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และเราควรเคารพสิทธิส่วนบุคคลของพวกเขา รวมถึงสิทธิของตัวเราที่เราควรได้ จาก กรณีเจอคนกินเหล้าบนรถไฟ3. ได้เห็นวิถีชีวิตผู้คนในมุมมองใหม่ ๆ ในรถไฟ คุณจะได้เห็นผู้คนที่เดินทางด้วยรถไฟอยู่เป็นประจำ ซื้อของกลับบ้าน และบางครั้งก็ช่วยเหลือเราในด้านข้อมูลได้ด้วย สำหรับเราที่เป็นมือใหม่ขึ้นรถไฟด้วยตัวเองครั้งแรก ความไม่รู้ว่าเราจะต้องเจอกับอะไรก็ทำให้วิตกอยู่บ้าง ต้องขอบคุณคุณลุงที่นั่งเบาะฝั่งตรงข้ามที่แนะนำให้เราลงได้ถูกสถานี และจุดสังเกตที่จะลง4. ได้ประสบการณ์การเดินทางโดยใช้ gps แทบจะตลอดเส้นทางจริง ๆ มันก็ช่วยได้นะ ทั้งเดิน ทั้งนั่งเรือ รวมทั้งไอเดียในการเดินทางแบบนี้ ก็เริ่มจาก gps ตอนแรกเกือบจะถอดใจและไปขึ้นรถตู้แทนแล้ว แนะนำเลย! แม้บางทีจะพาเราทะลุตึกบ้างก็ให้อภัยนะ5. ทั้งหมดทั้งมวลแล้วมันได้สอนให้เรารู้จักการเตรียมตัว การวางแผน และการระมัดระวังผู้คน ค่าเดินทางทั้งหมดมอไซต์รับจ้าง คนละ 20 บาท*2 คน = 40 บาทรถตู้ 40 บาท*2 คน = 80 บาทเรือข้ามฟาก 3.50 บาท* 2 คน = 7 บาทรถไฟ 25 บาท*2 คน = 50 บาทรวมทั้งสิ้น 177 บาทถ้วนเพิ่งเคยเดินทางด้วยราคาเท่านี้จริง ๆ ทริปหน้าคาดว่าจะไปให้ถึงน้ำตก >< น่าจะต้องเพิ่มค่าที่พักและการเดินทางกลับอีกขา รวม ๆ แล้ว คาดว่า 2000 น่าจะเอาอยู่ ที่สำคัญครั้งต่อไปถ้าจะต้องมากันผู้หญิง 2 คนอีก คงจะเลือกมากับรถไฟนำเที่ยว ที่น่าจะได้เจอประสบการณ์ในที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้มากขึ้น แบบได้ความรู้ในแต่ละที่ไปด้วย ที่สำคัญน่าจะไม่เจอคนน่ากลัวที่ขึ้นมาพร้อมกับขวดเหล้าทริป นั่งรถไฟ ไปกาญฯ ไหม ได้จบลงที่สะพานแควใหญ่ พร้อมประสบการณ์การเดินทางที่ มีค่ามากกว่าจุดหมายปลายทางจริง ๆ นั่นคือผู้คนที่เราได้พบเจอ ความช่วยเหลือที่ไม่คาดคิด สิทธิส่วนบุคคลที่เราพึงมี รวมถึง วิวแม่น้ำ ทุ่งหญ้า ท้องฟ้า ที่เราคงไม่เจอถ้าเราไม่ได้เริ่มออกเดินทางปล.รูปทั้งหมดถ่ายด้วย iphone xr และกล้อง canon 80D เลนส์ 18-135 บางภาพแคปจากที่ถ่ายวีดีโอ อาจจะไม่ค่อยชัดเท่าไรนะ :)