สวัสดีค่า วันนี้สองตายายจะพาทุกท่านไปแอ่วเมืองเหนือ คราวที่แล้วเราไปแอ่วเจียงใหม่ ลำพูน ลำปาง สุโขทัย คราวนี้เราจะพาไปแอ่วพื้นที่รอบ ๆ จังหวัดเชียงใหม่ เราเริ่มทริปจากการออกจากขอนแก่น วันนี้ตื่นเร็วแต่กว่าจะเก็บของขึ้นรถเสร็จก็ล่วงเลยเวลาไปพอสมควร อย่างว่าแหล่ะ เราไปแบบไม่เร่งไม่รีบ มีเวลาเที่ยวหลายวัน ก็เลยไปแบบเรื่อย ๆ เมื่อยก็พัก และเหมือนเดิมคือแผนแบบไม่มีแผน แค่เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ คือ ปางอุ๋ง จังหวัดแม่ฮ่องสอนนะเจ้าาา วันแรก ขอนแก่น ลำปางนั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ จนข้ามเขาค้อ แวะปั้มน้ำมันเข้าห้องน้ำ ระหว่างนั้นก็สไลด์หน้าจอโทรศัพท์อ่านรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ สลับกับการกางแผนที่แนะนำแหล่งท่องเที่ยวเพื่อดูความเป็นไปได้สำหรับวางแผนในการจะไปเที่ยวในครั้งนี้ ฟังแล้วดูดีเนอะ แต่จริง ๆ แล้วแผนของเราเปลี่ยนวันต่อวัน บางวันเปลี่ยนตามใจคนขับ หรือเปลี่ยนตามสภาวะ (ความจริงคือหลง) ทริปนี้พลขับบอกว่า อยากไปวัดอนาลโย หืออออ อยู่ไสหว่า ... หลังจากหาข้อมูลนานพอสมควรก็พบว่ามีอีกหลายแห่งที่ยังเราไม่เคยไป เลยนำเสนอพลขับว่าคืนนี้เรานอนที่อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปางมั้ยเธอ ที่นี่มีวัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ หรือ “วัดพระพุทธบาทปู่ผาแดง” จุดเด่นคือมีพระธาตุสีขาวงามเด่นอยู่บนหน้าผา หลังจากป้ายยาพลขับเรียบร้อย ก็บอกเป้าหมายเส้นทาง แล้วก็นอนหลับต่อ เรามาถึงอำเภอแจ้ห่ม ในเวลาเย็นค่อนไปทางค่ำ ขับรถวน ๆ หาที่พักได้ในตัวอำเภอ เมืองแจ้ห่มเป็นเมืองเล็ก ๆ น่ารัก เงียบสงบ จำชื่อที่พักไม่ได้ เพราะเข้าไปก็ค่อนข้างค่ำ แล้วเราก็ออกจากที่พักแต่เช้า เพื่อเตรียมตัวขึ้นไปวัด สาเหตุไปวัดแต่เช้าเพราะเราอยากขึ้นไปบนวัดเป็นกลุ่มแรก ๆ ไม่อยากเบียดเสียดกับนักท่องเที่ยวที่น่าจะมาถึงในช่วงสาย ใครมาเที่ยวแจ้ห่มไม่ต้องกังวลเรื่องที่พักมากนะคะ เพราะที่พักมีทั้งในเมือง และแถวๆ ทางขึ้นวัดด้วยค่ะ วันที่สอง แจ้ห่ม - พะเยา - เชียงราย - เชียงใหม่ ตื่นเช้า กินของว่างที่โรงแรมที่เราพักแล้ว ก็เดินทางไปที่วัด พอไปถึงจุดขายบัตรคนขายยังไม่มา เราเลยต้องเดินโต๋ ๆ เต๋ ๆ รอไปสักครู่ใหญ่ๆ ประมาณ 7 โมงคนขายบัตรก็มา ซื้อบัตรแล้วก็ขึ้นรถ ทางขึ้นค่อนข้างชันนั่งไปก็ภาวนา “พุทโธ ๆ” ไปด้วย ประมาณ 30 นาที ก็ถึงลานจอดรถ ตรงนี้มีที่ให้ชมวิว ไหว้พระ เข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว เราก็เดินเท้าต่อ ขึ้นบันไดไปอีก ราว ๆ 300 ขั้นเห็นจะได้ ยิ่งสูงยิ่งหนาวก็อาจจะจริง แต่ถ้าขึ้นบันไดยิ่งสูงก็ยิ่งเหนื่อย และทางขึ้นเริ่มจากทางลาดจนเป็นบันไดสูงชัน ก่อนขึ้นไปได้ระลึกถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์ แล้วก็กำหนดลมหายใจเดินจงกรมไปเรื่อย ๆ จนถึงยอด ก่อนถึงยอดแรงเกือบจะหมดก็เห็นป้ายบอกว่า “อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว” จากที่อ่านรีวิวไว้ก็รู้ว่าอีกไม่กี่เมตรก็คงถึง แล้วก็ถึงแล้วจริงๆ สำหรับประวัติและรายละเอียดเชื่อว่าชาวทรูคงมีข้อมูลพอสมควรเลยไม่ขอเล่าในที่นี้นะคะ เมื่อเราขึ้นไปนมัสการพระธาตุก็ต้องเดินขึ้นบันไดไปอีก ชันจริงอะไรจริง นอกจากได้กราบพระ และระลึกถึงพลังศรัทธาอันแรงกล้าของผู้สร้างแล้ว เรายังได้กำไรอีกขึ้น คือได้ชมวิวเมืองแจ้ห่มด้วยค่ะ คนเขียนพอได้ไหว้พระ พักเหนื่อยสมใจแล้ว ก็ค่อย ๆ เดินลงเขาไปขึ้นรถ และเพื่อลดระยะเวลาในการเดินทางเราก็เลยรวบรัดหาข้าวกินให้เสร็จ ๆ อิ่มท้องแล้ว ก็เดินทางไปจังหวัดพะเยา เพื่อไปวัดอนาลโย หรือที่มีชื่อเรียกเต็ม ๆ ว่า วัดอนาลโยทิพยารม อันเป็นเป้าหมายของวันนี้ เราใช้เส้นทาง 1035 เลี้ยวขวาไปยังถนนหมายเลข 120 ก่อนถึงวัดอนาลโยมีจุดชมวิวของจังหวัดพะเยาด้วย แต่ด้วยความที่เราไม่ได้อ่านรีวิวมาก่อนก็เลยขับรถเลยจุดชมวิวไปหน่อย ครั้นจะตีรถกลับก็กระไร จึงปล่อยผ่านเส้นทางนี้ไป ถึงวัดอนาลโยเกือบเที่ยง ปล่อยให้คนขับได้ไหว้พระสมใจ ส่วนเราก็เดินรอบ ๆ วัดเก็บภาพไปเรื่อย ๆ เสร็จแล้วก็มานั่งเล่นดูคนเอาเหรียญบาทตั้งไว้ที่ลานหิน สาเหตุที่พลขับเขาอยากมาวัดนี้เพราะทราบว่า หลวงพ่อพระอาจารย์ไพบูลย์ สุมังคโล เป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้นมา จึงอยากมากราบหลวงพ่อสักครั้งแต่เมื่อมาถึงก็ทราบว่าหลวงพ่อท่านไปจำพรรษาอยู่ที่อื่นแล้ว แต่ได้มาถึงก็ถือว่าได้มากราบรอยครูบาอาจารย์แล้ว เมื่อพอใจแล้วเราก็เดินทางต่อ เราใช้เส้นทางเดิมคือถนนหมายเลข 120 ผ่านส่วนหนึ่งของจังหวัดเชียงราย ระหว่างทางเจอน้ำตกธารทอง แวะเล่นน้ำนิดหน่อยพอชื่นใจ ก็เดินทางต่อแวะน้ำพุร้อนข้างทาง ใจจริงอยากแช่น้ำพุร้อนแต่เห็นหน้าคนขับแล้วก็เลยได้แค่ถ่ายรูปแล้วก็ขึ้นรถ ขับรถไปเรื่อย ๆ และหาทางไปปางอุ๋งซึ่งอยู่อีกฟากของเชียงใหม่ เราเลยใช้เส้นทาง 118 ผ่านอำเภอดอยสะเก็ด มองซ้ายเห็นยอดพระธาตุดอยสะเก็ด พลขับเล่าว่าสมัยอยู่เชียงใหม่เคยมาอบรมวิปัสนาอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายวัน พอใส่คีย์เวิร์ดดังนั้นก็เลย แวะไหว้พระธาตุเสียหน่อย ไหน ๆ ก็มาแล้ว การแวะไหว้พระธาตุครั้งนี้เราสองคนโชคดีได้กราบ หลวงพ่อพระราชโพธิวรคุณ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสะเก็ด ซึ่งตอนนั้นท่านกำลังเดินตรวจความเรียบร้อยของวัด เราก็เข้าไปกราบ ท่านก็ได้เมตตาสนทนาธรรมและให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วยกราบลาหลวงพ่อท่านแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยใช้เส้นทาง 121 และ 107 แต่ว่ามันค่ำ เหนื่อย และหนาวมาก ก็เลยมองหาที่พักระหว่างทางไปเรื่อย ๆ โชคดีว่าเห็นป้ายที่พักอยู่ด้านขวาของถนน เลยเลี้ยวขึ้นไปสอบถาม ปรากฎว่าบ้านพักที่นี่คืนละ 600 บาทเอง เจ้าของบ้านออกตัวว่าที่นี่ไม่มีแอร์ ซึ่งเราเองก็ไม่ประสงค์ เพราะตอนนี้ที่ประสงค์คือ น้ำอุ่น ๆ กับที่นอนสะอาด ๆ แค่นั้นเอง คืนนี้เหนื่อยเกินไปกับการหาข้าวกิน เลยได้บะหมี่สำเร็จรูปกินแก้หิวไปพลาง ๆ วันที่สาม ออนเซ็นที่แม่แตง กองแลน สะพานโบราณปาย และปางอุ๋งวันนี้เป็นวันที่ตื่นเช้าอีกวัน จิบกาแฟร้อน ๆ จากที่พัก กินบะหมี่สำเร็จรูปอีกห่อ ก็เดินทางต่อ เราไม่อยากเสียเวลากับการกินเท่าไรนักจึงออกจากที่นี่ก่อนเจ็ดโมง ระหว่างทางหมอกลงหนา และหนาว หนาวขนาดไอน้ำขึ้นจากแหล่งน้ำในที่ต่าง ๆ ที่เราขับรถผ่าน ขับรถไปเรื่อย ๆ จนเห็น น้ำพุร้อนโป่งเดือด (อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง) เข้าไปแล้วฟินหลายเด้อ ที่นี่มีจุดกางเต้นท์ มีบ้านพักนักท่องเที่ยว สำคัญคือมีที่แช่น้ำพุร้อน ซึ่งที่นี่ได้รับการรีวิวว่าเป็นหนึ่งในแหล่งออนเซ็นที่ดีที่สุดในอันดับต้น ๆ ของประเทศ ดีกว่าที่อื่นมั้ยไม่รู้ รู้แต่ว่าบรรยากาศดีมาก มีห้องส่วนตัว ห้องส่วนร่วม มีสระว่ายน้ำอุ่น ๆ ให้ว่ายเล่นด้วย สำหรับห้องส่วนตัวมีไม่กี่ห้อง เราไปถึงเป็นกลุ่มแรก ก็เลยเลือกได้ว่าจะเข้าห้องไหน ออนเซ็นเป็นที่พอใจแล้ว ก็ไปเดินดูน้ำพุร้อนโป่งเดือด ถ่ายรูปแล้วก็ออกมา เดินทางต่อไปอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน การเดินทางไปจังหวัดแม่ฮ่องสอนโดยใช้เส้นทางนี้ เราเคยเดินทางมาแล้วครั้งนึง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง เส้นทางที่นี่ค่อนข้างชันและคดเคี้ยว โชคดีที่ฝนไม่ตก ไม่เหมือนครั้งแรกที่เรามา ที่ทั้งฝนตก หมอกลงหนา และมีรถเยอะ แต่ถึงยังไงก็ตามระหว่างทางที่เดินทางก็เจออุบัติเหตุ รถมอเตอร์ไซด์ล้มบ้าง ถูกเฉี่ยวบ้าง สองสามรายด้วยกัน ใครไปเส้นทางนี้ยังไงก็ฝากให้ระมัดระวังให้มาก ๆ ค่ะ ก่อนเข้าปาย เราแวะกองแลนก่อน เพราะหิว ถ้าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมันต้องมีร้านขายข้าวอ่ะนะ แวะเข้าไปก็ไม่ผิดหวังมีร้านขายอาหารจริงๆ กินข้าวแล้วมีแรงก็เดิน ๆ ดูกองแลน จากอากาศเย็น ๆ ตอนเช้า ก็เกิดร้อนจนต้องถอดเสื้อกันหนาวออก เดินร้อนไม่ไหว ทั้งกลัวตกก็เลยชวนกันกลับออกมา เข้าปายดีกว่า แวะถ่ายรูปที่คอสะพาน แล้วก็เดินทางต่อ การเข้าไปอำเภอปาย เราแค่ขี่รถชมเมือง ขับชมรอบๆ ตัวอำเภอแล้วก็ขับออกไปเพราะเป้าหมายคือ คืนนี้จะไปนอนที่ปางอุ๋ง จากปายไปปางอุ๋ง เส้นทางคดเคี้ยวโหดกว่าจากแม่แตงมาปางอุ๋ง จำได้ว่าคราวก่อนรถเราเคยเสียหลักอยู่แถวๆ อำเภอปางมะผ้าซึ่งเป็นช่วงขึ้นเขาสูงชันและโค้งหักศอก คราวนั้นถึงกับน้ำตาจะไหลเพราะความหวาดเสียว นั่งภาวนาไปเรื่อย ๆ วิวก็สวย ทางก็สวย แต่ก็นะ คนที่ราบสูงมาอยู่ดอยสูงนี่ยังไงก็ไม่ค่อยจะชินเท่าไร เรามาถึงปางอุ๋งเกือบ 5 โมงเย็น จ่ายเงินค่าบำรุงสถานที่อะไรเรียบร้อย ก็หาทำเลกางเต้นท์ ดีหน่อยว่ายังไม่ค่ำมาก และนักท่องเที่ยวก็ยังมาไม่หนาแน่นเท่าไร เราเลยได้ที่ใกล้ทะเลสาบ ระหว่างที่คุณแฟนกางเต้นท์เราก็เดินสำรวจของกิน พบว่าที่นี่มีหมูกะทะขายเป็นชุด ๆ เราก็เลยซื้อมา 1 ชุด แทนที่จะปิ้งกินเราก็ต้มกินแทน กินอิ่มแล้วก็เข้าเต้นท์นอนฟินๆ หนาวๆ กัน วันที่สี่ ปางอุ๋ง แม่ฮ่องสอน ทุ่งบัวตอง แม่แจ่มเราตื่นเช้า(อีกแล้ว) คราวนี้ไม่ได้มีจิตที่รักธรรมชาติอยากตื่นเช้า แต่บริบทรอบตัวเขาตื่นกันหมดแล้ว อาจจะเพราะเสียงประชาสัมพันธ์เรื่องลงเรือแพอะไรนั่นมั้ง สรุปไม่อยากตื่นก็ต้องตื่น ตื่นแล้วไม่มีอะไรจะทำก็ต้มน้ำชงกาแฟ เดินถ่ายรูป เอาจริงๆ รู้สึกว่าที่นี่จะสวยช่วงบ่ายไปถึงเย็น กับช่วงเช้าไปถึง 9 โมง ปางอุ๋งนี่กลางคืนหนาวจนหมอกไหลตามน้ำ แต่พอสายมาแดดออกปุ๊บ ความหนาวไม่รู้หายไปไหน รู้สึกว่าแดดร้อนทันที ถ่ายรูปกินอาหารเช้าเสร็จสองตายายก็ชวนกันไปต่อแวะสปาโคลนที่ภูโคลน แม่ฮ่องสอน พร้อมซื้อผลิตภัณฑ์ไปฝากคนที่บ้าน ซื้อมากไม่ได้เดี๋ยวหมดตัว ออกจากสปาโคลน แวะบ้านกระเหรี่ยงคอยาว ซึ่งมีสาธิตการทอผ้า ขับร้องเพลงพื้นเมือง แล้วก็มีห่วงเหล็กที่สาว ๆ ชาวกระเหรี่ยงใส่ให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองด้วย จากนั้นเราแวะกินข้าวเที่ยงในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน แล้วก็ออดอ้อนคนขับว่าอยากไปดูทุ่งบัวตองเห็นเขาว่างามขนาด พร้อมป้ายยาคนขับอีกว่า เส้นทางนี้เป็นเส้นทางหฤโหด ในสมัยก่อนเป็นเส้นทางที่เสรีไทยใช้ตอนสงครามโลกครั้งที่สองด้วยนะ ปรากฎว่าเส้นทางก็ยังโหดเหมือนเดิม แต่ว่า ทุ่งบัวตองของข้าเจ้าอยู่แห่งไหน โทษของการไม่เช็คข้อมูล เลยกลายเป็นว่าเราขับรถขึ้นมาบนยอดดอยเพื่อมาดูดอกบัวตองแห้ง ๆ แห้งจนไฟแช็คในมือแทบลั่น ถ้าไม่มีใครสักคนเบรคว่าระวังติดคุกเพราะเผาป่าเด้อ … ลงดอยมาด้วยความผิดหวัง คอตกเหมือนหมาเหงา เพราะถูกเยาะเย้ยตลอดเส้นทางดีหน่อยที่อากาศดี เราขับรถมาเรื่อยๆ ถนนดีบ้างไม่ดีบ้างตามสภาพ เส้นทางนี้ที่เคยมาเมื่อหลายสิบปีก่อนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อก่อนเป็นป่ามีต้นไม้สูงปิดถนน อากาศเย็นค่อนไปทางหนาว ถนนบางส่วนยังเป็นทางลูกรัง ปัจจุบันเป็นถนนลาดยาง ส่วนป่าไม้ที่เคยเห็นกลายเป็นทุ่งข้าวโพดไปหมด กว่าจะถึงตัวอำเภอแม่แจ่มก็ค่ำ เราเข้ามาในตัวอำเภอราวทุ่มเศษ เมืองแม่แจ่มเงียบสงบ หาที่พักได้เรียบร้อยราคาไม่แพง กินอิ่มแล้วก็นอนหลับหมดสภาพตาม ๆ กันไป วันที่ห้า วัดพระพุทธเอ้น ลำพูน ขอนแก่น สำหรับวันสุดท้ายของทริป เราตื่นเช้า กินของเช้าที่โรงแรมแล้วก็ไปวัดพระพุทธเอ้น ที่นี่เป็นวัดสำคัญมีตำนานเก่าแก่ของอำเภอ มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ไหว้พระเรียบร้อย มีความสุขสมใจ พร้อมกับชื่นชมในความเรียบง่าย เงียบสงบของแม่แจ่ม แล้วก็เดินทางกลับ ความที่ไม่ได้ศึกษาข้อมูลมาเท่าไร จึงพบว่าแม่แจ่มอยู่ด้านหลังดอยอินทนนท์ เราขับรถจากแม่แจ่มแป๊บเดียวก็ถึงปากทางเข้าดอยอินทนนท์ ระยะทางค่อนข้างตื่นเต้น เพราะถนนแคบ และชัน แล้วทางก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ถ้าเทียบกับทางขึ้นดอยอินทนนท์ ลงจากเขามาหิวข้าวขนาด บอกคนขับว่าวันนี้ขอกินอาหารเมืองหน่อยนะ กินกระเพรา ราดหน้า และอาหารจานเดียวมาหลายมื้อแล้ว ขอกินอาหารลำ ๆ สักมื้อ กินข้าวแล้วก็แวะไปเที่ยวน้ําตกสิริภูมิ น้ำเยอะ อากาศเย็น ชอบสุดคือมีใบเมเปิ้ลกำลังเปลี่ยนสีด้วยค่ะ ออกจากน้ำตกสิริภูมิเราก็เดินทางกลับขอนแก่น ขากลับแวะวัดพระธาตุหริภุญไชย ไหว้พระหาของกิน และเสบียงสำหรับการเดินทางซึ่งอีกยาวนาวกว่าจะถึงบ้าน สรุประยะทางที่เดินทางครั้งนี้ไม่รวมหลงทางประมาณ 2,124 กม.ค่าอาหารการกิน ประมาณ 3 พัน เพราะกินไม่แพง กินง่ายอยู่ง่าย ค่าที่พักเฉลี่ยคืนละ 500 ประมาณ 2000 บาท ค่าน้ำมันแพงมาก ประมาณ 9พันบาท รวม ๆ ใช้เงินไปสำหรับทริปนี้ประมาณ หมื่นห้าค่ะ ไม่รวมของฝากเด้อ ภาพและเรื่อง โดยผู้เขียน