หลังจากได้ข่าวดีกึ่งกดดันว่า “เฟือง” (Phương) หัวหน้าทีมสเปนชาวเวียดนาม ซึ่งเป็นลูกค้าของผมกำลังจะมาไทย ทั้งผมและทีมก็ทำงานกันหัวหมุนเพื่อจัดเตรียมที่พัก และประสานงานเรื่องกรุ๊ปต่างๆของเธอ ที่ถ้าระดับเธอถึงกับต้องลงมาดูแลความเรียบร้อยด้วยตัวเอง แสดงว่าสำคัญมาก เรามีเวลาช่วงก่อนเริ่มงาน 2-3 วันในกรุงเทพ ผมกับเคนจึงอาสาพาเธอเที่ยวรอบกรุงฉบับคนหลงกรุง Sook Siam ศูนย์รวมของดีทั่วไทยใน ICON Siam ผมไม่ใช่คนกรุงเทพ แต่ต้องมาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่นี่ แม้จะคุ้นเคยกับแหล่งท่องเที่ยวรอบเมืองหลวงที่งดงามและสุดแสนวุ่นวายแห่งนี้ แต่ผมก็ยังอดหลงรักกรุงเทพในช่วงเวลาค่ำคืนไม่ได้ และเชื่อมั้ยครับ กรุงเทพที่เราจักกันดีนี้แหละ สวยงามมากเมื่อยามอาทิตย์ลับขอบฟ้า และเงียบสงบมาก ต่างกับตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง หลังจากทำงานสำรวจโรงแรมที่นายของเธออยากให้มาดูแล้ว เราพาเฟืองไป ICON Siam ศูนย์การค้าเปิดใหม่ริมน้ำเจ้าพระยาที่ผสมผสานทั้งสินค้าแบรนด์ชั้นนำระดับโลก กับสินค้าท้องถิ่นของไทยคุณภาพส่งออก สร้างสีสันให้กับห้างนี้ในโซน “สุขสยาม” สำหรับผม ห้างก็คือห้างครับ ศูนย์การค้าที่รวมทุกสิ่งที่คุณสรรหาไว้ในที่เดียว แหล่งพักผ่อนช่วงหลังเลิกงาน หรือช่วงสุดสัปดาห์ แหล่งนัดพบเพื่อนฝูง หรืออะไรก็ตามแล้วแต่คุณจะนิยาม แต่สิ่งที่ทำให้ ICON Siam โดดเด่นในมุมมองผม คือโซนสุขสยามนี่แหละ เฟืองเดินชิมขนมถั่วแปป โรตีจากโซนภาคใต้ Street Food อื่นๆจากหลายๆภาค ชิมกาแฟชาชัก และแวะดูผ้าย้อมครามของภาคอิสาน ที่ไม่ได้หาได้ง่ายๆถ้าเธอมีเวลาจำกัดและมาได้แค่กรุงเทพ นักท่องเที่ยวหลายคนเพลิดเพลินกับการนั่งทานก๋วยเตี๋ยวเรือริมน้ำ ที่แม้จะเป็นน้ำในสถานที่จำลอง แต่รสชาติก๋วยเตี๋ยวอร่อยไม่แพ้ต้นตำรับ เหนือสิ่งอื่นใดคือ เธอได้ประสบการณ์ของ Street Food ในบรรยากาศห้องแอร์ ท่ามกลางบรรยากาศที่ร้อนระอุของกรุงเทพด้านนอก สำหรับคนเวียดนามที่มีศูนย์การค้าน้อยแห่งและยังไม่มีรถไฟฟ้า การได้นั่งรถไฟฟ้ามาเดินศูนย์การค้าชั้นนำของเรา ทั้ง ICON Siam, Central World, หรือแม้แต่ Big C เป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับพวกเขามากครับ Tips: ที่โฮจิมินห์กำลังเริ่มสร้างรถไฟใต้ดิน และที่ฮานอยก็วางโครงรถไฟฟ้าเสร็จแล้ว เหลือแค่เปิดใช้ ที่ถามเพื่อนที่โน่น เขาก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ครับ แต่อีกไม่นาน การคมนาคมที่เวียดนามกำลังจะเปลี่ยนไป สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชมคนเวียดนาม (แม้จะไม่ดีเท่าไหร่สำหรับเราในฐานะผู้ขาย) คือ เขาเป็นคนรู้จักใช้เงินครับ เฟืองแม้จะมีฐานะดีและเดินทางมาแล้วเกือบครึ่งโลก พักโรงแรมระดับห้าดาว และได้มาสถานที่ตื่นตาแบบนี้ แต่เฟืองไม่ได้ซื้ออะไรหรูหรามากมายเลย เธอเพลิดเพลินกับการชิมอาหารเล็กน้อยและแวะดูเสื้อยืดที่ชอบเท่านั้นครับ ฟ้าหลังฝน ณ วัดอรุณ ก่อนมาไทย ผมถามเฟืองว่า อยากมาที่ไหนเป็นพิเศษมั้ย เพราะเธอทำงานกับหลายบริษัทในไทย และมาไทยไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งแล้ว เธอบอกผมว่า อยากไปเกาะล้าน กับดูพระอาทิตย์ตกดินที่วัดอรุณ เธอเป็น Sunset Lover คือผู้ที่ชื่นชอบบรรยากาศยามโพล้เพล้ และวัดอรุณของเราก็ขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพครับ น่าเสียดายที่เมื่อเราออกจาก ICON Siam แทนที่จะได้เห็นแสงอาทิตย์ที่ใกล้ลับขอบฟ้ายามเย็น กลับเห็นเมฆดำทะมึนของพายุฝนที่กำลังจะกระหน่ำลงมาในไม่ช้า ผมให้เฟืองเลือกระหว่างกลับโรงแรม นอนชมบรรยากาศฝนๆในห้องอุ่นๆ หรือไปต่อ ซึ่งเปียกฝนแน่นอน แต่จะพยายามไปให้ถึงร้านอาหารที่เราจองไว้ให้เร็วที่สุด และเธอเลือกที่จะไปต่อเพราะมีเวลาจำกัด เราจึงเลือกต่อเรือไปวัดอรุณตามแผนเดิมครับ การเดินทางจาก ICON Siam ไปวัดอรุณนั้นสะดวกสบายขึ้นจากเรือด่วนธงทอง ที่เพิ่มรอบและจุดจอดในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น วังหลัง (ตลาดวังหลัง) ท่าช้าง (พระบรมมหาราชวัง) วัดอรุณ ราชวงศ์ (ถนนเยาวราช) ไอคอนสยาม และสุดสายที่ท่าเรือสาธร (จุดต่อ BTS สถานีสะพานตากสินไปยังสถานีอื่นๆทั่วกรุงเทพ) ค่าโดยสารคนละ 20 บาทตลอดสาย เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 09.15 - 19.00 น. และช่วงเวลาที่เราจะนั่งไปวัดอรุณนั้น เป็นเรือรอบสุดท้ายของวันนั้นพอดี และพายุเจ้ากรรมก็กระหน่ำฝนลงมาพอดีกับตอนที่เรือออกครับ โชคดีที่เราอยู่ในแม่น้ำ ไม่ใช่ทะเล ไม่เช่นนั้นผมคงเริ่มกำพระรอบคอสวดมนต์ภาวนาแล้ว ฝนตกหนักมากจนสามารถกลืนภาพสะพานพุทธทั้งสาย และวัดอรุณให้หายไปกับสายฝนราวกับไม่เคยมีสิ่งก่อสร้างใดๆในบริเวณนั้นมาก่อน ด้วยเรือธงทองเป็นเรือที่วิ่งตรงระหว่างท่าสำคัญ จากไอคอนสยามไปวัดอรุณจึงใช้เวลาไม่นานนัก และฝนยังไม่ทันซาเลย เรือก็เทียบท่าที่วัดอรุณแล้ว ในขณะที่เรากำลังจะก้าวเท้าข้ามเรือลงท่าอยู่นั้น ด้วยเหตุที่ฝนแรงมาก และเสียงฝนกับเสียงฟ้าร้องก็ดังกลบเสียงนกหวีดของต้นหน จนกัปตันไม่ทันมองเห็นเราที่ท้ายเรือ และออกเรือไปก่อนที่เราจะก้าวถึงโป๊ะเรือ ในขณะที่เคนข้ามโป๊ะทัน ฝ่าฝนไปรอที่ท่าเรือในวัดอรุณเรียบร้อย ผมคว้าตัวเฟืองกลับเข้ามาในเรือทันก่อนที่เธอจะพลาดตกน้ำ และไม่ใช่แค่เราที่ติดอยู่บนเรือ ลูกค้าชาวเกาหลีที่ลูกของเขาก้าวลงไปก่อน แต่พ่อแม่ลงไม่ทันก็ค้างเติ่งบนเรือเช่นกัน เขาพยายามสื่อสารกับต้นหน ที่ทั้งสองฝั่งต่างก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่พวกเราที่พอจะเห็นเหตุการณ์ก็พอจะเดาได้ว่าเขาต้องการอะไร ผมจึงปรึกษากับต้นหน และใช้ภาษาใบ้พาพวกเขาลงที่ท่าช้างแทน เจ้าหน้าที่เรือที่ท่าช้างใจดี และให้ความช่วยเหลือดีมาก เมื่อเขารู้ปัญหาจึงประสานงานกับเรือเที่ยวถัดไปที่จะไปวัดอรุณทันที ทำให้คุณพ่อแม่ชาวเกาหลีได้ขึ้นเรือรอบถัดไปย้อนกลับไปวัดอรุณได้ทันพอดีก่อนที่เรือจะหมดรอบบริการของวัน ส่วนผมกับเฟืองยังคงติดฝนอยู่ที่ท่าช้าง การพาลูกค้าคนสำคัญฝ่าฝนจากหน้าวังไปถึงวัดโพธิ์ไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก แต่ฝนก็ยังไม่ทีท่าจะเบาลง หลังจากรอที่ท่าเรือมาเกือบ 10 นาที เฟืองจึงตัดสินใจขอให้ผมพาลุยฝนไปแทน ด้วยร่มพับเล็กๆ 1 คันและเสื้อกันฝนที่หาซื้อเอาจากร้านริมท่าช้าง ในเวลากลางวัน การเดินจากหน้าวังไปสุดหลังวัง และเลยไปถึงวัดโพธิ์ท่ามกลางแดดจัด ทำให้ลูกค้าชาวต่างชาติหลายๆคนลมจับมาแล้ว สำหรับลูกค้าสูงอายุ และลูกค้าหลายคนที่ไม่อยากเดินฝ่าเปลวแดดอันร้อนระอุ เราจะจัดให้นั่งรถตุ๊กๆวนรอบวัง ซึ่งได้ทั้งบรรยากาศการนั่งรถสีสัน colorful ที่เป็นเอกลักษณ์ของกรุงเทพ และได้เห็นบรรยากาศโดยรอบเมืองเก่าของกรุงเทพด้วย ในขณะเดียวกัน ถ้าเป็นตอนเย็นหรือตอนกลางคืน อากาศจะเย็นและได้บรรยากาศดีกว่า เพราะรอบวังแทบจะไม่มีรถวิ่งแล้ว จะเดินผ่อนคลายอารมณ์ชมกำแพงวังที่ส่องสว่างด้วยแสงไฟยามค่ำคืน หรือจะขี่รถวนรอบ ก็ให้บรรยากาศที่เงียบสงบ ต่างจากตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเวลาฝนตกและพายุกำลังลงครับ เฟืองที่แม้จะมีร่มคันน้อยบังฝนที่โหมกระหน่ำ พยายามจะแบ่งร่มให้ผมที่มีแม้จะมีเสื้อกันฝนอยู่แล้ว แต่ก็เปียกโชกไปหมดตั้งแต่หัวจรดรองเท้าผ้าใบที่กลายสภาพเป็นบ่อเลี้ยงปลาน้อยๆ เดินลัดเลาะกำแพงวัง สะดุ้งเสียงฟ้าผ่าเป็นระยะๆ ยิ่งเป็นบรรยากาศที่โคตรน่าจดจำ ฝ่ายเคนที่ตกใจกับเรือที่จู่ๆก็ออกไปทั้งที่ผมกับเฟืองยังติดอยู่บนเรือ เธอเล่าว่า เธอวิ่งลุยฝนตามเรือไปจนถึงอีกประตูหนึ่งของวัดอรุณ แต่ก็สิ้นหวังเพราะเรือตรงดิ่งไปท่าถัดไปแล้ว จึงเดินตัวเปียกโชก และไร้ที่กำบังกลับมายังท่าเรือประตูเดิมเพื่อนั่งเรือข้ามฟากมาลงท่าเตียน และนัดเจอกับเราที่นั่น สำหรับครอบครัวชาวเกาหลี พวกเราไม่รู้ชะตากรรมของพวกเขาหลังจากนั้น แต่ผมยังขอบคุณโชคชะตาจนทุกวันนี้ที่ไม่ใช่เฟืองที่เป็นคนลงไปก่อนตอนนั้น ไม่งั้นคงทุลักทุเลกว่านี้ เรามาถึงตรอกเล็กๆข้างวัดโพธิ์ในที่สุด ขณะที่ฝนค่อยๆซาลงหน่อย ถนนข้างวัดโพธิ์เป็นถนนโรแมนติกอีกสายหนึ่งที่ผมอยากแนะนำสำหรับคู่ฮันนีมูนหลายคู่ที่มีกำลังจ่าย อยากได้โรงแรมเล็กๆน่ารักๆ ริมแม่น้ำ ชุมชนเมืองเก่าและสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงเทพ การได้เดินจูงมือกันไปบนถนนย่านท่าเตียน มีฉากหลังเป็นยอดพระปรางค์วัดอรุณ และยอดอุโบสถพระนอนของวัดโพธิ์ที่กระเบื้องหลากสีส่องสะท้อนแสงไฟยามค่ำคืน มีผู้คนที่ยังขี่จักรยานผ่านบ้าง ตุ๊กๆขับผ่านบ้าง เป็นบรรยากาศที่ผมว่า น่ารักในแบบเมืองเก่าของกรุงเทพที่ผมชอบเป็นการส่วนตัว และถ้ามีคนรัก ก็คงพามาใช้เวลาด้วยกันแถวนี้ ในตรอกเล็กๆหลังท่าเตียนที่บรรยากาศเหมือนสะพานปลา อึมครึม และเงียบสงัดยามพลบค่ำ มีมุมเล็กๆในบรรยากาศหลักล้านซ่อนตัวอยู่ เราเดินไปตามทางที่ภายนอกดูเปลี่ยวและมืด ไปถึงปากทางเข้าโรงแรมศาลารัตนโกสินทร์ ที่หลังพายุกระหน่ำ กลายสภาพเป็นแอ่งน้ำสูงเกือบครึ่งหน้าแข้งของผม ทางร้านนำเก้าอี้มาวางเรียงกันไว้เป็นเหมือนสะพานให้เราปีนข้ามฝ่าแอ่งน้ำนั้นเข้าไปยังตัวร้านอาหารเล็กๆด้านใน ทุลักทุเลนิดหน่อย แต่นับว่าคุ้มค่า ร้านนี้ชื่ออีทไซท์สตอรี่ (Eat Sight Story) เป็นร้านกาแฟ บาร์เครื่องดื่ม อาหารไทยและฟิวชั่น ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นร้านเล็กๆที่แวดล้อมด้วยร้านอาหารหรูโดยรอบอย่างโรงแรมศาลารัตนโกสินทร์ที่เป็นโรงแรม 5* สไตล์ไทยบูติค, เดอะเด็ค (The Deck) ที่เป็นร้านอาหารริมน้ำเลื่องชื่อสำหรับนักท่องเที่ยว หรือร้านอีเกิ้ลเนสท์ (Eagle Nest) ของศาลาอรุณ ซึ่งล้วนแต่เป็นร้านอาหารหรู เหมาะสำหรับจิบไวน์ ชมวิววัดอรุณ ในราคาหลัก 2,000 บาทขึ้นไป สำหรับลูกค้าคนสำคัญอย่างเฟือง ผมได้เลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดในราคาที่ดีที่สุดให้เธอที่ร้านนี้ครับ แม้จะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่วิววัดอรุณหลังพายุที่ไม่มีตึกหรือหลังคาใดๆบดบัง ก็นับว่าคุ้มสำหรับการฝ่าพายุ ปีนเก้าอี้ ลุยน้ำท่วมมาแล้วครับ แม้จะได้ชื่อว่าวัดอรุณ แต่เรากลับไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากหลังวัดนี้แต่อย่างใด ตามประวัติ วัดอรุณ หรือวัดแจ้ง เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา ที่ชื่อวัดแจ้ง เพราะพระเจ้าตากฯ ทำศึกเสร็จ แล้วยกทัพกลับมาเป็นเวลาเช้าพอดี สำหรับชาวต่างชาติ จะรู้จักวัดนี้ในนาม Temple of dawn หรือตามความหมายของชื่อ “วัดอรุณ” นั่นเองครับ ตรงกันข้าม ในเวลาฟ้าเปิด พระอาทิตย์ตกที่หลังวัดนี้จะย้อมสีท้องฟ้าให้เป็นหลากสี สวยงามมากครับ และจุดที่คุณจะเห็นพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด คือ ฝั่งตรงข้ามวัด (ฝั่งพระนคร) ที่มีทั้งบาร์และร้านอาหารเรียงรายตามที่กล่าวมานั่นเอง เป็นครั้งแรกที่เธอได้ลองชิม ต้มข่าไก่ และเธอชอบเพราะรสชาติถูกปาก ส้มตำไทยที่ยังคงความเผ็ดแบบทนไหว ไปจนถึงยำทะเลที่ผมขอให้ทางร้านทำแบบเผ็ดน้อยให้สำหรับชาวต่างชาติ ผมเพิ่งรู้จากเธอว่า อาหารไทยที่เป็นที่ชื่นชอบของชาวเวียดนาม คือ ต้มยำ (แบบไม่เผ็ด) ขนมหวาน เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง ลอดช่อง เฉาก๊วย ทับทิมกรอบ และผลไม้บางอย่างเช่น ขนุน และไม่แปลกใจเลยที่ลูกค้าเวียดนามแต่ละคน เวลามาเที่ยวไทย มักจะสั่งอาหารที่คิดว่าคุ้นลิ้นอย่าง ต้มยำ และหลายคนลงเอยด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากมาไทยอีกแล้ว เพราะต้มยำของไทยเผ็ด และไม่อร่อย (สำหรับพวกเขา) อย่างที่หวัง ในขณะที่หลายคนอย่างเฟือง ไม่เคยมีโอกาสลองทานต้มข่า หรือเมี่ยงคำ และเมื่อได้ทานจึงค้นพบว่า มีเมนูอร่อยอีกหลายอย่างที่พวกเขายังไม่เคยได้ลิ้มลอง วัดโพธิ์ ความสงบหลังประตูลับ หลังจากที่ฝนหยุด ท้องอิ่ม และดื่มด่ำบรรยากาศของวัดอรุณจากริมระเบียงจนเต็มที่แล้ว ผมพาเธอไปวัดโพธิ์ก่อนกลับโรงแรม วัดโพธิ์เป็นที่รู้กันสำหรับวงการการท่องเที่ยว ว่าประตูปิดตอน 17.00 น. และมักเป็นที่สุดท้ายที่ไกด์จะพาแขกมาชม เพราะเวลาปิดค่อนข้างช้ากว่าวัดอื่น ในขณะที่นักท่องเที่ยวน้อยคนจะรู้ว่า ที่นี่ปิดดึกกว่าที่เรารู้ โดยมีประตูลับอยู่ท้ายวัดใกล้เขตสังฆาวาส ที่เปิดให้เข้าได้ถึง 23.00 น. โดยไม่เสียค่าเข้าชม เราเดินเลาะกำแพงวัดโพธิ์มาทางถนนเล็กๆ ที่อีกฝั่งคือเขตสังฆาวาสของพระภิกษุในวัดพระเชตุพนฯ หรือวัดโพธิ์แห่งนี้ ประตูลับยังคงเปิดอยู่แม้จะสามทุ่มแล้ว เราสามารถเดินชมพระมหาเจดีย์ 4 รัชกาลที่ส่องสว่างล้อแสงไฟยามค่ำคืน วิหารรายโดยรอบพระเจดีย์ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆล้อมรอบ เมื่อเดินชมตอนกลางคืนให้บรรยากาศที่เงียบสงัด และกึ่งวังเวงนิดๆ เหตุที่มหาเจดีย์มีเพียง 4 รัชกาล เพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อใกล้จะเสด็จสวรรคตได้มีพระราชดำรัสเฉพาะกับรัชกาลที่ 5 ว่า “พระเจดีย์วัดพระเชตุพนฯ นั้นกลายเป็นที่สร้างเจดีย์ของพระเจ้าแผ่นดินไป ถ้าจะสร้างกันทุกรัชกาล จะไม่มีที่เหลือ ควรจะถือว่าพระเจ้าแผ่นดินทั้งสี่พระองค์นั้นท่านได้เคยเห็นกันทั้งสี่พระองค์ จึงควรมีพระเจดีย์อยู่ด้วยกัน แต่ต่อไปอย่าให้ต้องสร้างประจำทุกรัชกาลเลย” (แปลความจากพระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เรื่องจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี) จึงไม่มีเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 5 มีเพียงวัดประจำรัชกาลที่ 5 คือ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร โดยรอบเจดีย์ในวัดโพธิ์ เรายังสามารถชมจารึกเกี่ยวกับการรักษาโรค ซึ่งอย่างที่รู้กันว่า วัดโพธิ์เป็นจุดกำเนิดของการนวดกดจุดแผนไทย ประติมากรรมฤาษีดัดตน ที่ตั้งอยู่รอบวัด ไปจนถึงตุ๊กตาอับเฉาชื่อดังอย่าง ตุ๊กตาหินมาร์โค โปโลที่หน้าตา และศิลปะเป็นสไตล์จีน แต่ใส่หมวกทรงสูงอย่างชาวตะวันตก น่าเสียดายที่ประตูอุโบสถพระนอนปิด เราจึงทำได้แค่เดินชมลาน และพระเจดีย์รอบนอกเท่านั้น ซึ่งแม้แต่รอบนอก บรรยากาศเงียบสงบ นักท่องเที่ยวน้อย จนราวกับปิดวัดโพธิ์ทั้งวัดเพื่อเธอคนเดียว และเป็นหนึ่งในสถานที่โรแมนติกของกรุงเทพครับ สงสัยมั้ยครับ ทำไมถึงเรียกตุ๊กตาหินที่หลายวัดทั่วกรุงเทพว่า ตุ๊กตาอับเฉา? อับเฉาในแง่ของอารมณ์ หมายถึง ไม่สดชื่น ไม่เบิกบาน แต่ในบริบทนี้ เรียกตามภาษาจีนกวางตุ้ง มีความหมายว่า ของถ่วงเรือกันโคลง ในสมัยรัชกาลที่ 3 สยามทำการค้ากับประเทศจีน และขนส่งสินค้าด้วยเรือสำเภา เวลาไปก็มีสินค้าไทยบรรทุกไปเต็มเรือ แต่เวลากลับ การเดินทางด้วยเรือเปล่า ทำให้ไม่ปลอดภัย และเรือจะไม่มีเสถียรภาพ เนื่องจากเรือสมัยโบราณใช้ไม้ที่มีน้ำหนักเบา และท้องโกลน เมื่อเจอคลื่นลมแรงจะโคลงและอาจล่มได้ จึงจำเป็นต้องถ่วงน้ำหนัก ไม่ให้เรือเบาเกินไป ด้วยการซื้อตุ๊กตาจีนแกะสลักจากหินบรรทุกกลับมาด้วย โดยนำตุ๊กตาหินไปไว้ที่ห้องใต้ท้องเรือที่เรียกว่า ห้องอับเฉา (Flood Chamber) เมื่อกลับถึงสยาม ไม่รู้จะนำไปใช้ประโยชน์อะไร จึงนำไปถวายวัด เพื่อใช้ตกแต่งสถานที่ จากวัดโพธิ์ ก่อนสามทุ่ม เราสามารถขึ้นรถไฟใต้ดินสายใหม่จากสถานีสนามไชยที่ตั้งอยู่ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยามกลับสีลมแล้วต่อรถไปที่อื่นต่อได้สบายๆ แต่คืนนี้ดึกเกินไป และสถานีปิดแล้ว เราจึงเรียกแท็กซี่กลับโรงแรมแทน และจากพายุในคืนนี้ ทำให้แผนเที่ยวทะเลในวันรุ่งขึ้นของเราต้องพับไป เพราะไม่อยากพาไปเสี่ยงกับคลื่นลม แต่ยังมีเวลาว่างอีกหนึ่งวัน ทำให้ผมต้องหาที่เที่ยวแทนเกาะให้เฟือง จะเป็นที่ไหนนั้น ผมจะเล่าให้ฟังในบทความหน้าครับ เครดิตภาพ: Pornpan Kleepkaew อ้างอิงเนื้อหา: https://bit.ly/2LcmkED https://www.thairath.co.th/content/332760 https://bit.ly/3dtrUP1 https://bit.ly/3dsyi97 https://bit.ly/3bo0itr