...เมืองนากุ้ง ทุ่งนาข้าว จ้าวทะเล... ...เสน่ห์หาดทราย มากหลายศิลปิน... เป็นคำขวัญของ อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช “หัวไทร” เป็นอำเภอหนึ่งใน จังหวัดนครศรีธรรมราช ทิศเหนือมีเขตแดนติดกับอำเภอปากพนัง ทิศตะวันตกติดกับอำเภอเชียรใหญ่ และ อำเภอชะอวด ทิศใต้ติดกับอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง และ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ส่วนทางด้านทิศตะวันออกติดกับทะเลอ่าวไทย มีชายหาดทอดเป็นแนวยาวเลยทีเดียว “หลบมาบ้านเรา” เป็นภาษาใต้ แปลว่า “กลับมาบ้านเรา” แล้วทำไมผู้เขียนถึงมาพูดเรื่องอำเภอหัวไทร?...นั่นเพราะบ้านเกิดของสามีผู้เขียนอยู่ที่นี่ นั่นเองค่ะ เราทั้งสองคน (ผู้เขียนกับสามี) เป็นคนจังหวัดนครศรีธรรมราช เหมือนกัน ตัวผู้เขียนเองบ้านเกิดอยู่ที่ อำเภอทุ่งใหญ่ และมาทำงานในจังหวัดภูเก็ต ด้วยกันทั้งคู่ วันนี้เลยถือโอกาสมาเล่าเรื่องราวดี ๆ วิถีชีวิตในวันกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของเรา วันพักผ่อนสบาย ๆ ที่ “หัวไทร” ให้ฟังกันค่ะ ผู้เขียนจะชอบ และ ดีใจ ทุกครั้ง ที่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่ “หัวไทร” เพราะที่นี่บรรยากาศดี มีทะเล และ ชายหาด ที่สวยงาม และ สงบเงียบ ถึงแม้ทะเล และ ชายหาดที่นี่ จะไม่สวยเท่าที่เกาะภูเก็ต แต่ผู้เขียนมั่นใจว่า ความเงียบ สงบ และ ความเป็น “วิถีชีวิตพื้นบ้าน” ของที่นี่ ก็มีเสน่มากไม่น้อยเลยล่ะค่ะ ขอใช้คำว่า “บ้านของเรา” แทน คำว่า “บ้านเกิดของสามี” แล้วกันนะคะ บ้านของเราตั้งอยู่ที่ ตำบลหน้าสตน ซึ่งเป็นพื้นที่ ๆ ติดกับทะเลอ่าวไทย ผู้คนต่างปลูกสร้างบ้านเรือนติดกับถนนเลียบหาด ฝั่งชายหาดหลายหลัง เดินแค่ไม่ถึง 20 ก้าวก็ถึงทะเลแล้วค่ะ ญาติของเราส่วนใหญ่ก็เช่นกัน ส่วนบ้านของเราเอง ปลูกอยู่ริมถนนเลียบหาดฝั่งตรงข้าม ถ้าจะไปชาดหาด ต้องข้ามถนนไปค่ะ แค่นิดเดียวก็ถึงแล้ว นอกจากทะเล ที่นี่ ยังมีชื่อเสียงในเรื่องการทำ “นาข้าว และ นากุ้ง” ซึ่งเป็นอาชีพหลักที่ทำกันมาช้านาน พ่อของสามีผู้เขียนเล่าว่า สมัยก่อนโน้น รุ่นปู่ย่า ตายาย ของเรา เมื่อพูดถึง หัวไทร แล้ว จะต้องนึกถึงนาข้าว แต่ต่อมาเกษตรกรเริ่มหันมาทำนากุ้งกันในรุ่นของพ่อแม่เรา พื้นที่นาเริ่มกลายสภาพเป็นบ่อกุ้งเกือบทั้งหมด เป็นอาชีพที่สร้างรายได้อย่างงามให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง พ่อและแม่ จากที่เคยมีอาชีพออกทะเลหาปลา เลยผันตัวเองมาทำแพกุ้งรายย่อย (แพกุ้งรายย่อย คือ ผู้ที่รับจ้างคัดแยกขนาดกุ้งจากบ่อของเกษตรกร เพื่อส่งขึ้นรถบรรทุกของแพกุ้งรายใหญ่นำไปขายต่อที่ตลาดมหาชัย) พ่อเล่าว่าอาชีพนี้ทำให้พ่อและแม่สร้างตัวได้ จนมีฐานะขึ้นมาระดับนึง สามารถสร้างบ้านปูนหลังใหม่แทนที่บ้านไม้หลังเล็ก ๆ และ ส่งเสียลูกให้เรียนจบได้ เมื่อผู้คนเริ่มหันมาทำนากุ้งกันเยอะขึ้น โรคระบาดในกุ้งก็เริ่มมีมากขึ้น จนหลัง ๆ เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งเริ่มประสบปัญหาการเลี้ยงยาก ดูแลยาก ประสบปัญหาขาดทุน หลาย ๆ คนจึงเลิกทำไปในที่สุด จนปัจจุบันนี้เราจะเห็นแต่บ่อกุ้งร้างเต็มไปหมด เมื่อคนเลิกเลี้ยงกุ้ง แพกุ้งอย่างบ้านเราเลยได้รับผลกระทบตามไปด้วย มีงานจับกุ้งแค่เดือนละไม่กี่บ่อ แต่ไม่เป็นไร เพราะลูก ๆ เรียนจบหมดแล้ว พ่อเลยผันตัวเองไปเช่าบ่อกุ้งร้างของเพื่อนบ้าน ค่าเช่าบ่อ ปีละ 4000 บาท เพื่อเลี้ยงปลานิล ปูดำ และ กุ้งขาว ให้แม่เป็นคนดูแลทำแพกุ้งเอง เพราะนาน ๆ ที ถึงจะมีงานจ้างเข้ามา เกริ่นมาซะยาวเลย...มาถึงเรื่องของเรากันแล้ววันนี้ผู้เขียนจะพาไปพักผ่อน ที่บ่อกุ้ง ของพ่อกันค่ะ มาดูวิถีชีวิตที่นี่กัน บ่ออยู่เลยหลังบ้านของเราเข้าไปในซอยระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร พ่อไม่ได้ทำเป็นธุรกิจหลักแสนหลักล้านอะไรนะคะ ทำจุก ๆ จิก ๆ ไปตามประสา เลี้ยงแบบปล่อยตามธรรมชาติ เพื่อลดต้นทุนและความเสี่ยง ก็จะมีปลานิล กุ้งขาว ซื้อลูกพันธุ์มาปล่อยไว้ หว่านอาหารให้กินบ้าง ส่วน กุ้งทะเล (กุ้งลายเสือ) และ ปูดำ นั้น พ่อจะหาลูกปู ลูกกุ้ง จากในคลองข้าง ๆ บ่อกุ้ง เป็นคลองน้ำกร่อยที่เชื่อมต่อจากทะเล มาปล่อยไว้ในบ่อ และจะเลี้ยงด้วยปลาตัวเล็ก ๆ ที่หาได้จากคลองสับโยนลงไปให้กิน ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยค่ะ พอโตมาก็จับไปขายในตลาดให้พ่อค้าแม่ค้าได้ กิโลกรัมละ 250-700 บาท แล้วแต่ขนาดของปู ปูไข่จะขายได้ราคาดีหน่อย กิโลกรัมละ 700-900 บาท เลยทีเดียว เอาไปเท่าไหร่ก็ขายหมดตลอด เพราะปูดำหายาก ไม่ค่อยมีคนเลี้ยง ส่วนกุ้งลายเสือ มักจะกินเองเสียมากกว่า เพราะหายาก มีน้อยค่ะ ลมเย็น ๆ ใต้ต้นโพธิ์ทะเลร่ม ๆ เหมาะแก่การนอนเล่นเป็นอย่างมาก แต่ผู้เขียนนอนจริงค่ะ ไม่ได้มาเล่น ๆ นะ อิอิ ปูดำในส่วนที่ขังไว้ รอเอาไปขายที่ตลาดพรุ่งนี้ ระหว่างรอพวกเราทำกับข้าวอยู่นั้น พ่อก็จะหั่นหยวกกล้วยให้เป็ด ให้ไก่ กิน พ่อจะเลี้ยงเป็ดไว้กินไข่ และเลี้ยงไก่บ้านไว้ขาย ไก่บ้านเป็นที่นิยมมาก เนื้อจะอร่อยกว่าไก่เนื้อที่ขายในท้องตลาด แถมปลอดภัยไร้สารเคมีเจือปน เพราะเลี้ยงด้วยวิธีธรรมชาติ ให้กินหยวกกล้วย กินข้าวเย็น กินเศษอาหารเหลือๆ และปล่อยให้หากินเองตามธรรมชาติ นอกจากได้ขายแล้วยังได้กินเองด้วยค่ะ ได้เวลาเตรียมวัตถุดิบสด ๆ จากบ่อ มาทำกับข้าวมื้อเย็นกินกันแล้ว...เย้ ๆ ปลาสด ๆ กุ้งสด ๆ ปูสด ๆ ท้องเริ่มร้องแล้วล่ะค่ะ วันนี้เมนูหลักเลย คือ ปลานิลนึ่ง กุ้งนึ่ง ปูนึ่ง น้ำจิ้มซีฟู้ด ได้เวลาล้อมวงกินข้าวแล้ว พ่อจะทำขนำน้อย ไว้ที่ริมบ่อกุ้ง และจะกินอยู่ นอนหลับ ที่นี่เลย เพราะต้องเฝ้าบ่อ ดูแลสัตว์ทั้งหลายที่เลี้ยงไว้ เมื่อลูกกลับไปเยี่ยมบ้านในแต่ละครั้ง ก็จะจัดแจงหากับข้าวกับปลา มาให้เยอะแยะ ไม่ขาดตกบกพร่องเลยค่ะ พวกเราลูก ๆ ก็จะช่วยกันทำช่วยกันประกอบเมนูอาหารแล้วมาล้อมวงกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ทุกคนต่างมีความสุข อิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งใจ เลยล่ะค่ะ จะเห็นว่าวิถีชีวิต ที่นี่ ใช้เงินน้อยมาก กับข้าวกับปลา หาได้เอง เลี้ยงไว้กินเอง ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของคนห่างบ้าน ที่ไปทำงานต่างถิ่น กลับมาเยี่ยมบ้านในแต่ละครั้งพวกเราสามารถรับรู้ได้ถึงความสุขของพ่อและแม่ ที่เฝ้าคอยวันที่ลูก ๆ กลับบ้าน และในส่วนของพวกเราเองก็เช่นกัน มีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ร่วมวงกินข้าว และสัมผัสวิถีชีวิตสมัยเด็ก บ้านที่พวกเราจากมา “หลบมาบ้านเรา” กันเถอะ ผู้เขียนหวังว่าเรื่องราวที่นำมาแชร์นี้ จะช่วยให้หลาย ๆ คนมีความสุข เช่นเดียวกันกับผู้เขียนนะคะ สุดท้ายนี้ ขอเก็บภาพ ริมทะเลหัวไทร พระอาทิตย์กำลังตกดิน และ ภาพ ฝูงนกกระยาง ที่บ่อกุ้ง ยามเย็น มาฝากกัน เป็นภาพที่อบอุ่น และ มีความสุข มาก ๆ ค่ะ (ภาพทั้งหมดโดย : ผู้เขียน) ขอบคุณที่รับชม... และ ฝากติดตามบทความของ “ขี้พร้าขาหมู” ในครั้งต่อ ๆ ไปด้วยนะคะ...ขอบคุณค่ะ