สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านนะคะ วันนี้ดิฉันจะพาทุกท่านไปท่องประวัติศาสตร์กันอีกเช่นเคย โดยใช้ตัวสถานท่องเที่ยวในการย้อนเวลา และในวันนี้ เราจะพาทุกท่านย้อนกันไปไกลสักหน่อย ทุกท่านเตรียมพร้อมสำหรับการผจญภัยในวันนี้หรือยังคะ ขอบอกเลยว่าเรื่องราวของสถานที่ท่องเที่ยวในวันนี้ อาจจะถูกใจสายประวัติศาสตร์กันแน่นอน ด้วยเรื่องเล่าที่หลากหลายในแต่ละยุคไม่ซ้ำกัน ขอบอกใบ้ให้ว่าเป็นสถานที่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทุกท่านคงพอทราบประวัติอันเก่าแก่ของจังหวัดแห่งนี้กันดี แต่มีสถานที่หนึ่งค่ะ ที่อยู่มาก่อนที่จะมีอยุธยาเสียอีก เอาละค่อนข้างลึกลับกันพอสมควร เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ สถานที่ท่องเที่ยวในวันนี้ก็คือ วัดพนัญเชิงวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้นเองค่ะ ในการเดินทางมาที่นี้นั้นต้องบอกว่าง่ายมากค่ะเนื่องจากใกล้กับกรุงเทพ จะขับรถส่วนตัวมาก็ได้หรือนั่งรถตู้ ท่านสามารถขึ้นรถตู้กรุงเทพ-อยุธยาได้ที่สถานีขนส่งหมอชิต หรือบริเวณห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 60 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทางและจุดขึ้นลงรถ หรือทางรถไฟ ท่านสามารถใช้บริการรถไฟที่วิ่งเส้นทางสายเหนือจากสถานีหัวลำโพง ลงที่สถานีพระนครศรีอยุธยา โดยมีขบวนรถไฟให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 04.20 – 22.45 น. ค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 15 บาทสำหรับรถไฟชั้น 3 ทุกท่านสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยที่เบอร์ 1690 วัดแห่งนี้เมื่อท่านเข้ามาแล้วท่านจะรู้สึกถึงบรรยากาศของวัดที่ค่อนข้างร่มรื่นมากค่ะ ต้นไม้เยอะมาก บริเวณของวัดกว้างพอสมควร มีศาลาริมน้ำที่เชื่อกันว่าเคยใช้เป็นท่าเรือในสมัยก่อนปัจจุบันก็ได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมเราสามารถไปนั่งเล่นหรือให้อาหารปลาบริเวณนี้ได้เช่นกันคะ เอาละค่ะตอนนี้เรามาเข้าเรื่องของเรากันเลยดีกว่า ก่อนอื่นทุกท่านน่าจะพอรู้จักกันอยู่บ้างใช่ไหมคะ แต่วันนี้ดิฉันจะขอมาขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องเล่าของวัดแห่งนี้ ก่อนอื่นทุกท่านรู้กันหรือไม่คะว่า วัดแห่งนี้เป็นวัดที่ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยอโยธยาในช่วงที่สมเด็จพระเจ้าอู่ทองหาพื้นที่ในการตั้งเมืองหลวงครั้งแรก แต่ทุกท่านต้องแยกให้ได้นะคะว่า อยุธยากับอโยธยานั้นไม่ใช่ที่เดียวกันนะคะ อโยธยามีมาก่อนอยุธยาค่ะ แต่ในช่วงหลังมีโรคระบาดอีกทั้งพื้นที่ไม่เหมาะกับเป็นเมืองหลวง พระเจ้าอู่ทองจึงย้ายผู้คนไปตั้งเมืองใหม่ที่ไม่ไกลกันนัก แต่มีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมกับการเป็นราชธานี นั้นก็คือกรุงศรีอยุธยานั้นเองค่ะ ดังนั้นวัดแห่งนี้ถูกสร้างมาก่อนกรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี แต่วัดแห่งนี้ไม่เคยร้างนะคะ เพราะมีการบูรณะเรื่อยมาเสมอ ด้วยเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์มีพระพุทธรูปที่ใหญ่และถือเป็นที่ศรัทธานามว่า พระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโต หรือที่คนจีนชอบเรียกคือ ซัมปอกง เห็นไหมคะว่าวัดแห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์ไปยังคนจีนเลยทีเดียวคะ ทุกท่านคง งง กันว่าวัดแห่งนี้เชื่อมโยงไปยังคนจีนได้ยังไง จริงๆแล้วมันมีนิทานพื้นบ้านที่เคยเล่าต่อกันมาเกี่ยวกับ คู่รักคู่หนึ่งนามว่าเจ้าชายสายน้ำผึ้งกับพระนางสร้อยดอกหมากทั้งสองคนนี้เป็นคู่รักที่พบกันในบริเวณวัดแห่งนี้คะ รักกันตั้งแต่แรกพบ เจ้าชายสายน้ำผึ้งคาดเดาการณ์ว่าน่าจะเป็นคนไทย ส่วนพระนางสร้อยดอกหมากน่าจะมีเชื้อสายเป็นคนจีน ทั้งคู่เนี้ยมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เสมอค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่งพระนางสร้อยดอกหมากขอกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่บ้านเป็นเวลาหลายวันที่ ทั้งคู่ไม่เจอกันนานจนกระทั่ง ถึงวันที่พระนางสร้อยดอกหมากกลับมา ก็หวังที่จะให้เจ้าชายสายน้ำผึ้งนั้นมารับด้วยความคิดถึงที่ห่างหายกันไปหลายวัน แต่เมื่อพระนางมาถึงท่าน้ำบริเวณวัดพนัญเชิงกลับไม่มีเจ้าชายสายน้ำผึ้งมารับ มีเพียงให้ทหารมารอรับเท่านั้น พระนางสร้อยดอกหมากน้อยใจและกล่าวกับทหารว่า เราจะไม่ขึ้นฝั่งจนกว่าเจ้าชายสายน้ำผึ้งจะออกมารับ ทหารจึงไปทูลบอกเจ้าชายสายน้ำผึ้ง แต่เจ้าชายสายน้ำผึ้งกลับบอกว่า ไปเชิญพระนางมา ซึ่งก็เป็นคำตอบแบบเดิม สุดท้ายพระนางสร้อยดอกหมากจึงตัดสินใจกระโดดน้ำตายที่บริเวณท่าน้ำเพราะคิดว่าเจ้าชายสายน้ำผึ้งไม่รัก ทำให้เจ้าชายสายน้ำผึ้งเสียใจเป็นอย่ามากและรู้สึกผิดต่อนาง จึงทำศาลให้บริเวณวัดให้ชื่อ ศาลพระนางสร้อยดอกหมาก และเชื่อกันว่าเดิมวัดเเห่งนี้น่าจะชื่อว่าวัดพระนางเชิญ ตามเรื่องเล่า แต่ภายหลังก็เพี้ยนมาเป็นวัดพนัญเชิง นั้นเอง นอกจากเรื่องเล่าแล้วยังเชื่อกันว่าในช่วงที่กรุงศรีอยุธยาจะแตก มีลางบอกเหตุคือน้ำตาของพระพุทธไตรรัตนนายกได้ไหลออกมา อีกทั้งใบหน้ายังโศกเศร้าและมีฝูงอีกาบินมาตายในบริเวณหน้าวัดแห่งนี้ ทำให้เชื่อกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้คงจะสื่อให้เห็นเป็นลางก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตกนั้นเองค่ะ ความศักดิ์สิทธิ์ของวัดแห่งนี้จึงถูกเล่าขานกันมาอย่างต่อเนื่อง และไม่ว่าใครที่จะมาอยุธยาก็ต้องแวะมาสักการะหลวงพ่อโตกันทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่สำคัญหากใครอยากจะมาขอพรเรื่องความรักก็สามารถแวะไปไหว้ที่ศาลพระนางสร้อยดอกหมากกันได้นะคะ และเคยมีผู้คนบอกต่อกันมาว่าเมื่อเข้าไปในวัดแห่งนี้แล้ว เมื่อกราบไหว้แล้วเงยหน้าขึ้นมามองพระพุทธรูป หลวงพ่อโต หากท่านยิ้มให้ แปลว่าคุณเป็นคนดีและมีบารมีที่จะเห็นค่ะ แต่หากคุณเข้าไปแล้วท่านทำหน้าดุหมายความว่าคุณอาจจะทำอะไรไม่ดีมาก็ได้นะ ให้รีบทำบุญเยอะๆไว้ ทั้งนี้หากอยากที่จะไปพิสูจน์ความศักดิ์สิทธิ์กันก็อย่าลืมแวะไปที่วัดพนัญเชิงแห่งนี้นะคะ ที่สำคัญถ้าคุณอ่านบทความนี้ไปแล้ว จะยิ่งทำให้การเดินทางของคุณมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์เป็นตัวนำพา และดิฉันเชื่อว่าคุณจะต้องสนุกกับการเดินทางย้อนเวลาของคุณแน่. เครดิตภาพปกและภาพถ่าย:โดยผู้เขียน