ถ้าใครมีแพลนอยากไปเที่ยวแต่มีงบน้อย แถมลาได้ไม่กี่วันต้องฟังทางนี้เลย เพราะที่เที่ยวที่นำมาเสนอในวันนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่รวมถึงสามวัฒนธรรมไว้ด้วยกัน และไม่ว่าจะมีงบมากงบน้อยก็สามารถเที่ยวได้แบบสบาย ๆ เลยค่ะ ที่เที่ยวที่เราพูดถึงนี้ก็คือ “ปีนัง” สถานที่เที่ยวซึ่งอยู่ใกล้ ๆ บ้านของเรานี่เอง เดินทางชิล ๆ ดูวิวเพลิน ๆ เมื่อต้นปี 62 ที่ผ่านมาผู้เขียนได้ถือโอกาสใช้ช่วงวันหยุดไม่กี่วัน แบกกระเป๋าใบเดียวเพื่อไปเที่ยวยังเมืองปีนัง ต้องขอบอกเลยว่าเป็นเมืองที่ปลอดภัยและเที่ยวง่ายมาก ๆ โดยวิธีเดินทางไปปีนังสามารถนั่งรถตู้ รถไฟ หรือจะขับรถไปเองก็ได้ค่ะแนะนำสำหรับใครที่อยู่ทางใต้และต้องการจะขับรถไปเที่ยวเอง ส่วนผู้เขียนขอเลือกวิธีเดินทางด้วยรถไฟค่ะ ขึ้นที่สถานีหาดใหญ่ปลายทางจะไปจอดที่ปาดังเบซาร์ รถไฟออกตอนเจ็ดโมงเช้า (มีเที่ยวอื่นด้วยนะคะสำหรับใครที่ไม่อยากตื่นเช้า) ต้องระวังขากลับให้ดีเพราะเที่ยวรถไฟจากปาดังเบซาร์มาหาดใหญ่จะหมดตอนบ่ายสาม ถ้าพลาดเที่ยวนี้ต้องรอไปขึ้นใหม่วันพรุ่งนี้เลย ภาพถ่ายโดยผู้เขียน : บัตเตอร์เวิร์ธ หลังจากที่เราลงจากรถไฟแล้วก็ขึ้นบัตเตอร์เวิร์ธต่อราคาอยู่ที่ 11.4 ริงกิต (ค่าเงินตอนแลกไป ณ ต้นปี 62 อยู่ที่ 7.7 บาทต่อ 1 ริงกิต) เขาจะเปิดขายตั๋วเป็นเวลาถ้าไม่เห็นเจ้าหน้าที่ก็ไม่ต้องตกใจไปค่ะแค่ยังไม่ถึงเวลาจำหน่ายตั๋ว ทั้งนี้เวลาของมาเลเซียจะเร็วกว่าเรา 1 ชั่วโมงระวังจะสับสนเวลานะ หลังจากนั้นเราก็ต้องลงเรือกันต่อ จังหวะนี้หยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมาเตรียมถ่ายรูปได้เลยเพราะจะมีน้อง ๆ แมงกะพรุนขึ้นมาที่ผิวน้ำให้เราได้ยลโฉมกัน พูดได้เลยว่าเพลินสุด ๆ เพราะนอกจากบรรยากาศสบาย ๆ กับวิวที่สวยงามแล้วนั้น เรายังได้มีโอกาสดูน้องแมงกะพรุนแบบใกล้ ๆ แถมไม่เป็นอันตรายด้วยค่ะ พอเรามาถึงที่ท่าเรือของปีนังแล้วก็จะเห็นรถสายต่าง ๆ จอดให้บริการอยู่ทางด้านซ้าย แต่จะมีรถที่เรามาถึงปีนังแล้วจะไม่ขึ้นไม่ได้เลยนั่นก็คือรถบัสที่มีตัวอักษรเขียนว่า "CAT" ถ้าไม่ขึ้นถือว่าพลาดมากค่ะ เพราะมันคือรถบัสที่ให้บริการฟรี ! โดยเจ้ารถ CAT นี้เป็นรถที่วิ่งวนรอบเมือง ไม่ต้องตะโกนบอกคนขับให้เจ็บคอว่าจะลงที่ไหน เพราะรถคันนี้จอดทุกป้ายค่ะ สะดวกสบายแถมประหยัดเงินในกระเป๋ามาก ๆ เลยล่ะค่ะ Street Art ภาพถ่ายโดยผู้เขียน : ภาพวาดบนฝาผนังเมืองจอร์จทาวน์ ไม่พูดถึงไม่ได้เลยสำหรับ Street Art ย่านที่นักท่องเที่ยวต้องไปถ่ายรูปเมื่อมาถึงที่ปีนัง ในย่านนี้รวบรวมภาพวาดบนฝาผนังหลากหลายสไตล์ไว้ด้วยกัน บางภาพก็มีคนต่อคิวรอถ่ายรูปนับสิบคน แต่ถ้าใครไม่อยากรอต่อคิว ตามตรอกซอกซอยก็มีภาพวาดอื่น ๆ ที่สวยงามไม่แพ้กัน แต่ต้องขยันเดินหน่อยนะคะเพราะ Street Art เป็นย่านที่ใหญ่เอาเรื่องอยู่เหมือนกันผู้เขียนเองก็ยังเดินได้ไม่ทั่วเลยค่ะ ไม่ได้มีเพียงแค่ภาพวาดเท่านั้นแต่ย่านนี้ยังมีตึกรามบ้านช่องแบบโบราณที่คงความสวยงามของสถาปัตยกรรมสมัยก่อนเอาไว้ด้วย ตลอดทางของ Street Art จะมีร้านขายอาหาร เครื่องดื่ม หรือร้านขายของที่ระลึกให้เราได้เข้าไปเลือกซื้อ และแวะพักเหนื่อยกันได้แต่ไม่แนะนำให้มาเดินตอนเย็นเพราะร้านส่วนใหญ่จะปิดกันเกือบหมดแล้ว ภาพถ่ายโดยผู้เขียน : เพ้นท์เฮนนา นอกจากการเดินถ่ายรูปภาพวาดบนฝาผนังแล้ว ผู้เขียนขอแนะนำให้ลองเพ้นท์เฮนน่าดูค่ะ ได้ทั้งลายสวย ๆ แถมได้ถ่ายรูปไปอวดเพื่อน ๆ ด้วยราคาขึ้นอยู่กับลายที่เลือกเพื่อนของผู้เขียนที่ไปด้วยกันจ่ายไป 20 ริงกิตแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทั้งวันเลยค่ะ Penang Hill ภาพถ่ายโดยผู้เขียน : ภาพวิวบนปีนังฮิลล์ อีกหนึ่งสถานที่ยอดฮิตของคนที่มาปีนังนั่นคือการขึ้นเคเบิ้ลคาร์ที่ปีนังฮิลล์ โดยต้องขึ้นรถบัสสาย 204 รถจะไปสุดสายที่ปีนังฮิลล์เลยค่ะ หรือจะขึ้นสาย 201 ก็ได้รถจะไปจอดใกล้ ๆ กับปีนังฮิลล์แล้วเดินต่อไปอีกหน่อย ตอนขึ้นก็บอกคนขับว่าเราจะไปปีนังฮิลล์แล้วหย่อนเงินลงในเครื่องก็จะได้ตั๋วมาค่ะ ราคาอยู่ที่คนละ 2 ริงกิต ถ้าใครไม่แน่ใจว่ารถบัสจะผ่านหน้าที่พักของเราหรือเปล่าก็สามารถมาขึ้นรถที่ Komtar ซึ่งเป็นย่านการค้าและจุดศูนย์รวมการขนส่งของเมือง รถบัสหลายสายจะมาสุดสายที่นี่ค่ะ ในการไปปีนังฮิลล์แนะนำให้ไปตั้งแต่เช้าเพราะบรรดานักท่องเที่ยวที่มากับทัวร์มีเยอะมากถ้าเรามาสายอาจต้องต่อแถวซื้อตั๋วนานเลย ผู้เขียนเองไปตั้งแต่หกโมงเช้าค่ะเพราะกลัวว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ทัน ทั้งนี้ราคาตั๋วรถรางไฟฟ้า หรือเคเบิ้ลคาร์จะอยู่ที่คนละ 30 ริงกิตค่ะ ในตอนที่เข้าไปในเคเบิ้ลคาร์แนะนำให้จับจองที่บริเวณหน้าสุดเลยค่ะ เพราะระหว่างที่เคเบิ้ลคาร์กำลังเคลื่อนตัวขึ้นยอดเขาเราก็จะได้ชื่นชมทิวทัศน์รอบ ๆ ตัวโดยที่ไม่มีใครมายืนบังเรา เมื่อขึ้นไปถึงจะสัมผัสได้ถึงความเย็นที่มาปะทะกับผิวของเราเป็นความเย็นที่มาจากต้นไม้โดยรอบและอากาศยามเช้าค่ะ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน : ภาพวิวบนปีนังฮิลล์ ด้านบนของปีนังฮิลล์จะมีจุดชมวิวให้เราได้มองเมืองปีนังแบบพาโนรามา มีวัดฮินดูและมัสยิดให้เราได้ชื่นชมสถาปัตยกรรมและความงามของวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ภาพถ่ายโดยผู้เขียน : มัสยิดบนปีนังฮิลล์ นอกจากนี้ยังมีทางเดินธรรมชาติให้เราได้สัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์ กลิ่นอายธรรมชาติ ถ้าใครยังอยากเข้าถึงธรรมชาติมากกว่านี้ก็สามารถเข้าชมสวนนกสวนดอกไม้ได้แต่สวนเหล่านี้จะมีการเก็บค่าเข้าชมค่ะ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน : ทางเดินธรรมชาติ ด้านบนของปีนังฮิลล์มีร้านอาหารและสถานที่ให้พักเหนื่อยนะคะไม่ต้องกลัวว่าจะอด และถ้าใครที่รู้สึกเหนื่อยแต่ยังอยากจะดูให้ทั่วบริเวณก็สามารถใช้บริการรถชมวิวได้ค่ะซึ่งอัตราค่าบริการก็พอ ๆ กับค่าตั๋วเคเบิ้ลคาร์เลยค่ะ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน : สถาปัตยกรรมยุโรปบนปีนังฮิลล์ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน : สวนดอกไม้ ต้นไม้บนปีนังฮิลล์ Georgetown Esplanade ในช่วงเย็น ๆ แดดร่มลมตกขอแนะนำให้ไปเดินเล่นกินบรรยากาศเพลิน ๆ ที่จอร์จทาวน์เอสพลานาร์ดค่ะ วิธีเดินทางก็ง่าย ๆ เลยขึ้นรถ CAT ไปเราจะเห็นตึกสีขาวตั้งตระหง่าน ด้านหน้าเป็นลานกว้างเขียวชะอุ่ม ตึกสีขาวแห่งนี้คือที่ว่าการเมืองปีนังซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบวิกตอเรียน ในตอนเย็น ๆ ก็จะมีการเปิดไฟสาดส่องไปที่ตัวตึกดูสวยงามมาก ๆ เลยค่ะ ลานสนามหญ้าด้านหน้าของที่ว่าการเป็นสถานที่สำหรับจัดงานต่าง ๆ แต่ถ้าไม่มีเทศกาลอะไรก็จะเป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนของคนปีนังและนักท่องเที่ยวที่จะมานั่งผ่อนคลาย รับลมเย็น ๆ บริเวณนี้มีบรรดาพ่อค้าแม่ค้ามาขายของเล่นเป็นส่วนใหญ่เพราะคนปีนังจะมากันเป็นครอบครัวและพาลูกหลานมาด้วยค่ะ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน : เช่าถังฟองสบู่@Georgetown Esplanade หนึ่งในไฮไลท์ของการมาที่นี่คือการเช่าถังฟองสบู่เพื่อเป่าเล่นค่ะ แต่คงจะเรียกว่าเป่าไม่ได้เพราะขนาดของไม้ฟองสบู่มีขนาดใหญ่มาก โบกไปในอากาศฟองสบู่ที่ออกมาใหญ่กว่าหน้าผู้เขียนอีกค่ะ ราคาอยู่ที่ 4 ริงกิต ถ้าฟองสบู่หมดแล้วสามารถไปเติมได้โดยจ่ายเงินเพิ่มอีกนิดหน่อย ส่วนใครที่อยากนั่งชิล ๆ ริมทะเลเพียงแค่เดินไปอีกนิดก็จะเห็นทะเลแล้วค่ะ สามารถนั่งเล่นรอดูตะวันลับขอบฟ้า ฟังเสียงคลื่นที่สาดซัดเข้าหาฝั่ง แหงนหน้ารับลมทะเล แถมท้ายด้วยเรือที่แล่นผ่านไปบางทีก็เห็นชาวบ้านออกมาทอดแหกันตรงนั้นเลยค่ะ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน : วิวริมทะเล@Georgetown Esplanade สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดทั้งค่าอาหาร ค่าเดินทาง รวมทุกอย่างแล้วพกเงินมาแค่ 1,500 บาทก็เอาอยู่ค่ะ บอกเลยว่าได้เที่ยวแบบสบายใจแถมสบายเงินในกระเป๋าอีกต่างหาก การมาเที่ยวปีนังในครั้งนี้ผู้เขียนได้ค้นพบว่าตัวเองชื่นชอบและมีความสุขกับการได้ไปเยือนสถานที่ใหม่ ๆ มากแค่ไหน แค่ได้ลองออกไปพบเจอกับเมืองใหม่ ๆ พบเจอกับผู้คนที่แปลกตาผู้เขียนก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา แน่นอนว่าในทุกการเดินทางอาจจะมีหลงบ้าง เหนื่อยบ้าง แต่นั่นแหละค่ะคือการเดินทาง ผู้เขียนหวังว่าทุกคนจะได้เริ่มต้นการเดินทางในแบบของตัวเองนะคะ