พิชิต ยอดเขาคินาบาลู มาเลเซีย สัมผัสแสงแรกของวัน สวรรค์ของนักปีนเขา
หากคุณเป็นนักเดินทางสายผจญภัย เชื่อว่า ยอดเขาคินาบาลู มาเลเซีย น่าจะเป็นหนึ่งในลิสต์ของเส้นทางเดินป่า ฝ่าความสูง จุดหมายปลายทางที่ตั้งเป้าไว้ว่าต้องไปพิชิตให้ได้สักครั้งในชีวิต แต่ถ้าใครที่ยังไม่เคยได้ยินชื่อเสียงความสวยงามของ มรดกโลก ที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ เราชวนวอร์มอัป เตรียมตัวให้พร้อม แล้วออกไปคว้า Certificate สำหรับนักปีนเขา ผู้พิชิตยอดเขาคินาบาลู กันสักครั้งในชีวิตกันดูค่ะ
ออกไปผจญภัย พิชิต ยอดเขาคินาบาลู
Mount Kinabalu มรดกโลก มาเลเซีย
ยอดเขาคินาบาลู (Mount Kinabalu) เป็นหนึ่งใน Dream Destination จุดหมายปลายทางของบรรดานักท่องเที่ยวสายผจญภัยทั่วโลก ที่นี่ยังเป็น มรดกโลกแห่งแรกของประเทศมาเลเซีย และยังเป็น มรดกโลกที่สูงที่สุดในอาเซียน ที่อนุญาตให้นักปีนเขาเข้าไปสัมผัสกับความสวยงามราวกับสรวงสวรรค์ บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 4,095 เมตรแห่งนี้ได้ สำหรับใครที่ยังไม่เคยรู้จักที่นี่เลย เราอยากชวนให้ติดตามอ่านให้ครบจนถึงย่อหน้าสุดท้ายค่ะ เพราะไม่แน่ว่าคุณอาจจะกลายเป็นหนึ่งในจำนวนนักท่องเที่ยวปีละกว่าแสนคน ที่พร้อมใจกันเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขาในตำนานแห่ง เกาะบอเนียว (Borneo) และคว้า Certificate สำหรับนักปีนเขาผู้พิชิตยอดเขาคินาบาลูได้สำเร็จก็เป็นได้
รู้จัก คินาบาลู หมุดหมายปลายทางของนักเดินทางผู้โหยหาธรรมชาติ
ภูเขาคินาบาลู เป็นยอดเขาที่สูงบนเกาะบอเนียว รัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย แม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 4 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสูงรองจากยอดเขาในเมียนมา และอินโดนีเซีย แต่เรียกได้ว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของอาเซียน ที่อนุญาตให้นักปีนเขาทั่วไปเดินเท้าเข้าไปพิชิตความสูงเหนือเมฆได้ตลอดทั้งปี
คินาบาลู นับเป็นหนึ่งเส้นทางเดินป่าที่แค่มีเงินก็ไม่ใช่ว่าจะได้ก้าวมาอยู่บนจุดสูงสุดได้ง่ายๆ เพราะทริปนี้ต้องอาศัยทั้งความไว (ในการจองทริปแข่งกับคนอื่นๆ จากทั่วทุกมุมโลกปีละกว่าหนึ่งแสนคน โดยเฉพาะในช่วง Hi-Season) และต้องมีหัวใจแข็งแกร่ง ฟิตร่างกายมาให้พร้อมสำหรับการเดินป่านานติดต่อกัน 3-8 ชั่วโมง บนเส้นทางลาดชันไม่ต่ำกว่า 45 องศา วัดใจสายแข็งกันไปเลย!
อีกทั้ง ภูเขาคินาบาลู ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งแรกของมาเลเซีย ในปี ค.ศ.2000 จึงการันตีได้ว่า ตลอดสองข้างทางขึ้นสู่จุดสูงสุดบนยอดเขา จะรายล้อมด้วยธรรมชาติที่มีความหลากหลายและสมบูรณ์มากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก เสน่ห์ที่ธรรมชาติบรรจงสรรสร้างขึ้นมาเหล่านี้ คือสิ่งที่นักเดินทางผู้โหยหาธรรมชาติไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงเลยทีเดียว
การเดินทางสู่ คินาบาลู ทริปนี้ต้องวางแผนล่วงหน้ากันยาวๆ
ขั้นตอนแรกของทริปคินาบาลู เริ่มต้นจากการจองแพ็กเกจปีนเขาพร้อมที่พักและอาหาร ผ่านเว็บไซต์ www.mountkinabalu.com หรือใช้บริการจากเอเจนซี่ที่มีให้เลือกหลายเจ้า แต่สิ่งที่ควรทราบเอาไว้ก็คือ ในแต่ละวันจะมีการจำกัดจำนวนผู้มีสิทธิ์ย่างเท้าขึ้นสู่ยอดเขาคินาบาลูได้เพียง 185 คนเท่านั้น! ซึ่งปกติจะต้องจองล่วงหน้ากันอย่างน้อย 3-4 เดือนขึ้นไป และในช่วง High-Season อาจต้องใช้เวลาในการจองล่วงหน้านานถึง 6 เดือนเลยทีเดียว
ดังนั้นจึงต้องท่องจำขึ้นใจไว้เสมอว่า ห้ามจองตั๋วเครื่องบินก่อนจองแพ็กเกจได้เด็ดขาด! ซึ่งปัจจุบัน สามารถจองเที่ยวบิน บินตรงจาก กรุงเทพฯ (BKK) - โกตา คินาบาลู (Kota Kinabalu) ได้แบบไม่ต้องไปเสียเวลาแวะต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ได้แล้ว
ช่วงเวลาที่เหมาะกับการเดินทางมา คินาบาลู
ช่วงเวลาที่เหมาะกับการเดินทางมาพิชิตยอดเขาคินาบาลูมากที่สุด คือ เดือนมีนาคม - กันยายน และช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงและอันตรายมากที่สุด คือ ช่วงฤดูฝน นอกจากจะทำให้เส้นทางเดินได้ยากยิ่งขึ้นแล้ว หากฝนตกหนักมาก ก็อาจไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปชมความงามบนยอดเขาอีกด้วย
hkhtt hj / Shutterstock.com
แพ็กเกจปีนเขาคินาบาลู
แพ็กเกจปีนเขาคินาบาลู มีให้เลือกทั้งแบบ 2 วัน 1 คืน และ 3 วัน 2 คืน ซึ่งในแต่ละแพ็กเกจ จะรวมค่าใช้จ่ายสำหรับที่พัก อาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติคินาบาลู (Kinabalu Park) ค่าบัตรประจำตัวนักปีนเขา (Climbing Permit) ค่าบริการรถรับ-ส่ง ค่าไกด์ท้องถิ่น ค่าประกาศนียบัตร (Certificate) เป็นต้น แต่ราคาเหล่านี้จะไม่รวมกับค่าฝากกระเป๋า และค่าลูกหาบแบกสัมภาระขึ้นที่พักใน Base Camp
นอกจากนี้ ยังมีโปรแกรมเดินป่าและปีนเขาในระดับต่างๆ ให้เลือกตามที่ใจและร่างกายบอกว่าไหว เพราะบางเส้นทางอย่าง Via Ferrata (Low’s Peak Circuit) จะไม่ใช่แค่เดินขึ้นสู่ยอดเขา แต่ยังต้องปีนป่ายคล้องสายสลิงไปตามหน้าผาที่มีปุยเมฆลอยละล่องอยู่ใต้ฝ่าเท้าเราตลอดเวลา!
แต่บอกเลยว่า มาเยือน คินาบาลู ทั้งที ยังไงก็ต้องผจญภัยให้ครบรส แม้ว่าโปรแกรม Via Ferrata จะฟังดูน่าหวาดเสียวและหลายคนคิดว่าเหมาะกับนักปีนเขามือโปรมากกว่า แต่จริงๆ แล้ว แม้แต่เด็กอายุ 10 ขวบ หรือผู้ใหญ่อายุ 70 ก็สามารถทำกิจกรรมท้าความสูงที่ขึ้นชื่อนี้ได้ ภายใต้ข้อกำหนดและการดูแลอย่างใกล้ชิดของทีมงานมากประสบการณ์
โดยส่วนมาก นักท่องเที่ยวจะเลือก แพ็กเกจ 2 วัน 1 คืน ซึ่งจะแบ่งการเดินทางออกเป็น 2 ช่วง คือ
วันแรก (Day 1) เดินทางจากที่พักในเมืองโกตา คินาบาลู เพื่อมาลงทะเบียนและรับบัตรประจำตัว ณ ที่ทำการอุทยานฯ ก่อนจะเริ่มเดินเท้าจาก Timpohon Gate สู่ Laban Rata ระยะทาง 6 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง จบวันด้วยการรับประทานอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ อบรมการใช้อุปกรณ์ปีนเขา (สำหรับผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรม Via Ferrata) และพักผ่อนบน Base Camp ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 3,272 เมตร
Zack Zulkarnain / Shutterstock.com
วันที่สอง (Day 2) ตื่นเช้าขึ้นมาทานมื้อเช้าตอน 01.30 น. และออกเดินทางขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ณ Low’s Peak Summit บนยอดเขาคินาบาลู ที่ระดับความสูงเหนือน้ำทะเล 4,095 เมตร ในเวลา 05.30-06.00 น. (หากขึ้นมาเช็กพอยท์ที่ Sayat - Sayat Checkpoint ไม่ทัน 04.30-05.00 น. ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปยัง Low’s Peak Summit)
เส้นทางต่อจากนี้จะเป็นการเดินทางกลับด้วยเส้นทาง Trail หรือหากใครสนใจกิจกรรมเพิ่มความท้าทายอย่างการปีนเขา Via Ferrata (Low’s Peak Circuit หรือ Walk the Torq) ก็ต้องเลือกแพ็กเกจที่รวมกิจกรรมปีนเขามาตั้งแต่แรก ซึ่งไม่ว่าจะร่วมกิจกรรมไหนก็ตาม ก็ต้องกลับมายังที่พักใน Laban Rata เพื่อเก็บกระเป๋า ล้างตัว ทานอาหารมื้อสาย และเช็กเอาท์ก่อน 12.00 น.
hkhtt hj / Shutterstock.com
หลังจากนั้นต้องนั่งรถลงมายังที่ทำการอุทยานฯ เพื่อรับประกาศนียบัตร รับประทานอาหารเย็น ในเวลา 16.00 น. และเดินทางกลับสู่ตัวเมืองโกตา คินาบาลู โดยใช้เวลานั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมง
คำแนะนำ : หากใครมีเวลาเหลือเฟือ แนะนำให้พักผ่อนคลายในเมืองโกตา คินาบาลู ก่อน 1 วัน และเลือกแพ็กเกจเดินป่าคินาบาลู 3 วัน 2 คืน เพื่อจะได้ใช้เวลาปรับตัวกับพื้นที่สูงในอุทยานแห่งชาติคินาบาลู อย่าง Rinabalu Park, Kundasang Town, Poring hot spring เพิ่มขึ้น 1 วัน ซึ่งเมื่อร่างกายชินกับความสูงได้แล้ว ก็จะช่วยให้ปีนเขาในวันถัดไปได้ดีขึ้น
วิธีจัดกระเป๋า ไปพิชิต ยอดเขาคินาบาลู ยังให้คล่องตัว?
การเดินเท้าขึ้นสู่ Low’s Peak Summit เต็มไปด้วยความลาดชัน นอกจากนี้ สภาพอากาศของจุดเริ่มต้นและยอดเขา แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้น การจัดเตรียมเสื้อผ้า อุปกรณ์ และอาหารเพิ่มพลังระหว่างทางให้พร้อม จะช่วยให้ทริปนี้สนุกและราบรื่นมากขึ้น เรามีลิสต์สำหรับจัดกระเป๋าไปปีนเขาคินาบาลูมาฝากตามนี้เลยค่ะ
- เป้บรรจุสัมภาระ สำหรับเดินทาง 2 วัน 1 คืน หรือ 3 วัน 2 คืน พร้อม Rain cover
- เสื้อผ้าใส่สบาย เสื้อชั้นในที่ให้ความอบอุ่นได้ดี เสื้อกันลม เสื้อกันหนาว (ควรเตรียมไปให้พร้อม เพราะสภาพอากาศบริเวณ Base camp คือ 6-14 องศาเซลเซียส แต่อากาศบนยอดเขา (Low’s Peak Summit) จะอยู่ที่ประมาณ -3 - 5 องศาเซลเซียส)
- เสื้อกันฝน ต้องหยิบใช้ได้ไว ใส่เดินคล่องตัว และพับเก็บง่าย เพราะสภาพอากาศบนเทือกเขามักจะเอาแน่เอานอนไม่ได้ มีเสื้อกันฝนไว้พร้อมใช้จะช่วยให้เราไม่เปียกจนป่วย
- รองเท้าเดินป่า เลือกที่ใส่สบาย ยึดเกาะพื้นดีๆ และอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานระดับหนักหน่วง
- ไม้เท้าเดินป่า จะช่วยให้การเดินบนเส้นทางที่ลาดชันทำได้ง่ายขึ้น
- ถุงมือ ใช้สำหรับจับเชือก จะช่วยป้องกันการโดนเชือกหรือหินบาดมือขณะปีนป่ายได้ดี
- ไฟฉายคาดศีรษะ เพราะวันที่สอง เราต้องออกเดินทางสู่ยอดเขาคินาบาลู กันตั้งแต่เวลา 02.00 น. สองข้างทางจะมืดสนิท ถ้าไม่มีไฟส่วนตัวไป รับรองว่ามองทางไม่เห็นแน่ๆ
- กระบอกน้ำ หรือเป้น้ำ เนื่องจากการเดินทางที่ต่อเนื่องหลายชั่วโมงทำให้ต้องจิบน้ำตลอดเวลา และแหล่งน้ำที่มีให้ตามจุดต่างๆ อาจไม่สะอาดเพียงพอ การเตรียม เม็ดละลายทำให้น้ำสะอาดก่อนดื่ม จะช่วยลดความเสี่ยงของอาการท้องเสียได้ดีมาก
- เอนเนอร์จี้บาร์ ช็อกโกแลต หรือลูกอม พกเอาไว้ใช้เติมพลังระหว่างทาง
- ยารักษาโรคประจำตัว และยาสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ที่สูง
สำหรับอุปกรณ์อื่นๆ ที่ไม่ต้องแบกขึ้นยอดเขาคินาบาลู เช่น หัวแปลงปลั๊กไฟ สายชาร์จ รองเท้าแตะ เสื้อผ้าใช้แล้ว และเสื้อผ้าสำหรับวันเดินทางกลับ เราสามารถฝากไว้กับที่พักได้ (มีค่าบริการ แต่ไม่แพง) โดยน้ำหนักกระเป๋าที่จะไม่ทำร้ายร่างกายเราระหว่างเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาคินาบาลู คือ 6-8 กิโลกรัม
เพิ่มอรรถรสให้การปีนเขาเร้าใจยิ่งขึ้นด้วย โปรแกรม Via Ferrata
เวียร์เฟอร์ราตา (Via Ferrata) เป็นภาษาอิตาลี แปลว่า สะพานแห่งเหล็ก กิจกรรมนี้ นักปีนเขาจะต้องปีนป่ายไปตามห่วงเหล็กและคล้องสายเคเบิ้ลไปตามจุดต่างๆ บนหน้าผาสูงเหนือระดับน้ำทะเล 3,776 เมตร!
เสน่ห์ของ Via Ferrata คือ การท้าทายความกล้าและขีดจำกัดของร่างกายไปพร้อมๆ กับชื่นชมปุยเมฆ สายลม ยอดเขา และแสงแดดยามเช้าที่โอบล้อมตัวเราอยู่ตลอดเส้นทาง ความน่าสนใจของกิจกรรมนี้อยู่ที่ ใครๆ ก็สามารถร่วมปีนป่ายทักทายก้อนเมฆได้ ขอแค่มีสุขภาพแข็งแรง อายุ 10 ปีขึ้นไป หรือมีความสูงเกิน 130 เซนติเมตร โดยไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ปีนผาติดตัวมาจากบ้าน เพราะในระหว่างอยู่ในที่พัก Base camp จะมีพี่เลี้ยงมาอบรมพื้นฐานการปีนผา การใช้และใส่อุปกรณ์ เทคนิคคล้องสายเคเบิ้ลไปตามเส้นทาง การจัดตำแหน่งหน้าที่ของผู้ร่วมทริปในระหว่างปีนผา และระหว่างทำกิจกรรม จะมีทีมงานผู้มีความชำนาญด้านการปีนผาคอยดูแลอย่างใกล้ชิดจนจบกิจกรรม
เส้นทาง Via Ferrata ทั่วโลก มีอยู่มากกว่า 300 แห่ง แต่เส้นทางที่สูงที่สุดและสวยไม่แพ้ใคร อยู่ที่ ยอดเขาคินาบาลู แห่งนี้นี่เอง โปรแกรม Via Ferrata ของที่นี่แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ตามความยาก - ง่าย ได้แก่
Walk the Torq เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ สนใจปีนผาแบบง่ายๆ ระยะทาง 430 เมตร บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 3,520 เมตร จุดสตาร์ทจะอยู่ที่กิโลเมตรที่ 7.5 ใช้เวลาในการเดินไปตามเส้นทางที่เป็นวงกลมประมาณ 2-3 ชั่วโมง เด็กอายุ 10 ปี หรือมีส่วนสูง 130 เซนติเมตรขึ้นไป สามารถร่วมกิจกรรมได้อย่างปลอดภัย
Low’s Peak Circuit เป็นการปีนผาที่ผจญภัยมากขึ้น เพราะต้องเดินไปบนหน้าผาสูงเหนือระดับน้ำทะเล 3,776 เมตร ระยะทาง 1,200 เมตร ซึ่งได้รับการบันทึกใน Guinness World Records ว่าเป็น Via Ferrata ที่สูงที่สุดในโลก
กิจกรรมนี้ใช้เวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมง โดยจุดเริ่มต้นจะอยู่ที่กิโลเมตรที่ 8.5 ซึ่งเส้นทางปีนผาจะมาบรรจบกับเส้นทาง Walk the Torq ทำให้นอกจากจะได้ไต่ไปตามหน้าผาสูงชันแล้ว ยังจะได้เดินบนสะพานแขวนที่สูง 3,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นหนึ่งในสะพานแขวนที่สูงที่สุดในโลกด้วย กิจกรรมนี้เด็กอายุ 17 ปีขึ้นไป หรือมีส่วนสูงเกิน 130 เซนติเมตร สามารถร่วมได้โดยไม่จำเป็นต้องเคยปีนเขามาก่อน
ข้อควรระวัง : สำหรับโปรแกรม Via Ferrata จะต้องมาถึงจุดสตาร์ทซึ่งอยู่ ณ กิโลเมตรที่ 8.5 (สำหรับ Low’s Peak Circuit) ไม่เกิน 06.30 น. และกิโลเมตรที่ 7.5 (สำหรับ Walk the Torq) ไม่เกิน 07.15 น. หากใครเดินขึ้นไปเช็กอินที่ Low’s Peak Summit แล้วย้อนลงมาที่จุดเริ่มต้นกิจกรรมไม่ทันเวลา ก็จะพลาดโปรแกรมกระตุ้นอะดรีนาลีนนี้ไป แม้ว่าจะจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็ตาม
แลนด์มาร์ก จุดถ่ายรูป ยอดเขาคินาบาลู ต้องห้ามพลาด
จริงๆ แล้วตลอดเส้นทางจากที่ทำการอุทยานฯ มาจนถึง Low’s Peak บนความสูง 4,095 เมตร เราจะได้สัมผัสกับความอลังการของธรรมชาติและอ้อมกอดของภูเขาคินาบาลู แต่ถ้าจะให้แนะนำว่าจุดไหนต้องแวะเข้าไปเก็บรูปที่ระลึกบ้าง บอกได้เลยว่า เหล่ายอดเขาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Low’s Gully, Donkey Ears Peak, Victoria Peak, Low’s Peak Summit, South Peak, St. John's Peak, King Edward Peak รวมถึงวิวจากระเบียงที่พักใน Laban Rata นี่แหละ ที่มองเมื่อไรก็ประทับใจไม่รู้ลืมจริงๆ
- ยอดเขาที่มีรูปทรงสะดุดตาอย่าง South Peak เคยถูกตีพิมพ์บนธนบัตรมาเลเซีย 100 RM ด้วยนะ
บัตรประจำตัว ประกาศนียบัตร ใบผ่านทาง และสัญลักษณ์ของผู้พิชิตยอดเขา
หลังจากลงทะเบียนเพื่อนยืนยันรายชื่อตามที่ทำการจองออนไลน์ไว้ ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติคินาบาลู เรียบร้อยแล้ว นักปีนเขาทุกคนจะได้รับ บัตรประจำตัวนักปันเขา (Climbing Permit) ซึ่งนอกจากจะเป็นของที่ระลึกชิ้นแรกแล้ว บัตรใบนี้ยังทำหน้าที่เป็นบัตรผ่านทางและใบเช็กชื่อ ที่เราต้องแสดงให้กับเจ้าหน้าที่ประจำจุดเช็กพ้อยท์ที่กระจายตัวไปตามเส้นทางสู่ยอดเขา
หากใครเผลอลืมหยิบมาจาก Base Camp หรือทำบัตรหาย ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปยังจุดต่อไปเด็ดขาด ดังนั้นนักปีนเขาทุกคนจึงต้องรักษาบัตรประจำตัวใบนี้เท่ากับชีวิต
และเมื่อขึ้นไปแตะขอบฟ้า ชมแสงแรกของวัน ณ Low’s Peak Summit เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นักปีนเขาก็จะได้ครอบครองประกาศนียบัตรผู้พิชิตยอดเขา (Certificate) โดยอัตโนมัติ ซึ่งเมื่อลงมาเช็กพ้อยท์จุดสุดท้าย ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติคินาบาลู ก็จะได้รับประกาศนียบัตรไว้เป็นที่ระลึกติดไม้ติดมือไปอวดคนทางบ้านทันที
Tappasan Phurisamrit / Shutterstock.com
ฟิตร่างกาย ก่อนไป ยอดเขาคินาบาลู ให้ไม่อ่อนแรง ขาล้า
แม้ว่าการพิชิตยอดเขาคินาบาลู จะไม่ยากเกินไปสำหรับนักปีนเขามือใหม่ แต่ด้วยความเป็นมือสมัครเล่น ก็จำเป็นต้องออกกำลังกาย สร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะช่วงขา ซึ่งจะถูกใช้งานอย่างหนักตลอดเส้นทาง 18 กิโลเมตร ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และรายละเอียดของสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป
นอกจากนี้หากมีฝนตก หรือหมอกลงจัด เส้นทางที่ยากอยู่แล้ว จะกลายเป็นเส้นทางที่ลำบากมากขึ้นอีกหลายเท่า ดังนั้นหากสภาพร่างกายไม่พร้อม หรือปีนเขาในระดับความสูงกว่า 4,000 เมตร นานต่อเนื่องกันหลายชั่วโมง ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอันตรายได้ง่ายมากขึ้น
ซึ่งหากผ่านการฟิตซ้อมร่างกายก่อนลงเดินในเส้นทางจริงมาเป็นอย่างดี ก็จะทำให้สามารถร่นเวลาในการปีนเขา จากสถิติเฉลี่ยของคนที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย คือ 7-8 ชั่วโมง ให้เหลือเพียง 3-4 ชั่วโมง ได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น เมื่อมั่นใจแล้วว่าสามารถจองแพ็กเกจพิชิตยอดเขาคินาบาลูได้แล้ว ให้เริ่มออกกำลังกายทันที โดยเน้นการสร้างกล้ามเนื้อแขน ขา แผ่นหลัง ฝึกเดินหรือวิ่งต่อเนื่องกันอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง นอกจากนี้ การฝึกกล้ามเนื้อช่วงล่าง ให้ชินกันการเดินขึ้น - ลง บนทางชันๆ และบันได รวมถึงฝึกวิธีควบคุมลมหายใจสำหรับการหายใจบนพื้นที่ออกซิเจนต่ำ ก็จะช่วยให้ทริปปีนเขาสนุกได้เต็มที่ โดยไม่มีอุปสรรคและข้อจำกัดของร่างกายมาทำให้อดได้เป็นเจ้าของประกาศนียบัตรของผู้พิชิต Low’s Peak Summit ไปอย่างน่าเสียดาย
คินาบาลู สายชิลก็เที่ยวได้ !
แม้ว่าการมีชื่ออยู่ในใบประกาศนียบัตรของผู้พิชิตยอดเขาคินาบาลู จะเป็นภารกิจหลักของผู้ที่ตั้งใจเดินทางมาเยือนเส้นทางในตำนานของเกาะบอเนียวแห่งนี้ แต่สำหรับสายชิล ผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติ แต่ไม่ได้อยากทำภารกิจยากๆ แบบการปีนเขา ก็ยังสามารถมาเที่ยวชื่นชมความงามของมรดกโลกแห่งแรกของมาเลเซีย ภายใน Kinabalu Park ได้เช่นกันค่ะ โดยกิจกรรมที่อยากแนะนำให้เพื่อนๆ ได้สัมผัสกับธรรมชาติกันอย่างใกล้ชิด มีตามนี้เลยค่ะ
กิจกรรมสุดชิล ท่ามกลางธรรมชาติใน อุทยานแห่งชาติ Kinabalu Park
เที่ยวสำรวจธรรมชาติแบบชิลๆ ฉบับมือสมัครเล่น
ภูเขาคินาบาลู ไม่ได้มีชื่อเสียงเพียงแค่เป็นเส้นทางปีนเขาที่สวยมากๆ แห่งหนึ่งในโลกเท่านั้น แต่ภายใน อุทยานแห่งชาติคินาบาลู ยังมีสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบในการชื่นชมธรรมชาติด้วยค่ะ โดยผ่านกิจกรรมชวนผ่อนคลายอย่าง การเดินชมธรรมชาติสวยๆ ตามเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องฟิตร่างกายหรือฝึกหายใจบนความสูงที่มีออกซิเจนต่ำ ซึ่งเส้นทางเที่ยวสำรวจธรรมชาติในพื้นที่อุทยานแห่งชาติคินาบาลูที่ได้รับความนิยมก็คือ
Mountain View Trail หากคุณตกหลุมรักบรรยากาศของป่าฝนบนเกาะบอร์เนียว และหลงใหลในเสียงน้ำตกแล้วล่ะก็ ต้องห้ามพลาดเส้นทางสั้นๆ ผ่าน น้ำตกกันดาเมียวบอร์เนียว (Kandamaian Borneo Waterfal) เส้นทางนี้เหมาะสำหรับทุกคนเลยค่ะ ทุกเพศทุกวัยมาเที่ยวได้ง่ายๆ เดินสบายๆ และใช้เวลาเดินชิลๆ เพียง 15 นาที เท่านั้น
Bundu Tuhan View Trail อีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติที่ถูกยกให้เป็นเส้นทางที่ถูกใจนักท่องเที่ยวสายชิลมากที่สุด เพราะมีระยะทางเพียง 500 เมตรเท่านั้น แถมตั้งอยู่ใกล้กับ สำนักงานประชาสัมพันธ์ของอุทยานแห่งชาติฯ โดยในระหว่างทาง เราจะได้สัมผัสกับทัศนียภาพอันสวยงามของ หมู่บ้าน Bundu Tuhan และเมื่อเดินลึกเข้าไปไม่ไกลจากปากทางนัก ยังสามารถเลือกสัมผัสธรรมชาติ บนเส้นทางย่อยได้อีก 2 เส้นทาง ซึ่งการเดินชมผืนป่าแสนสมบูรณ์บนเส้นทางนี้ จะใช้เวลาทั้งหมดไม่เกิน 30 นาทีค่ะ เรียกได้ว่ากำลังดีเลย เราจะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติแบบที่ไม่ต้องเหนื่อยอีกด้วย
Silau Silau Trail คือ 1 ใน 3 เส้นทางที่นักเดินป่ามือสมัครเล่นชื่นชอบมากที่สุดค่ะ เนื่องจากมีระยะทางสั้นๆ เพียง 3 กิโลเมตรเท่านั้น นอกจากเส้นทางเกือบทั้งหมดจะตั้งอยู่บนพื้นราบเป็นหลักแล้ว หากระหว่างทางเกิดเหนื่อยเดินไม่ไหว หรือเปลี่ยนใจอยากไปใช้เส้นทางอื่นๆ ก็สามารถทำได้ ซึ่งตลอดสองข้างทางของ Silau Silau Trail ยังเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงามชวนสะกดใจ อย่าง ลำธาร พืชพรรณขนาดเล็ก และกล้วยไม้ป่าสายพันธุ์ต่างๆ ให้ได้ชื่นชม
Kiau View Trail ถ้าหากคุณมีพื้นฐานการออกกำลังกายมาบ้าง และอยากสัมผัสธรรมชาติบนเส้นทางศึกษาธรรมชาติความยากระดับปานกลาง Kiau View Trail คือคำตอบ! เพราะคุณจะได้เดินทอดน่องออกแรงกล้ามเนื้อหน้าขาไปบนระยะทางปีนเขาเบาๆ ราว 2.5 กิโลเมตร ที่พาดผ่านไปตามป่าเขา มีการเดินขึ้น-ลงเนินบ้าง ให้ได้ออกแรงปีนป่ายเบาๆ อาจใช้เวลาในการเดินเที่ยวประมาณ 1-1.30 ชั่วโมง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความฟิตของร่างกาย และการใช้เวลาแวะถ่ายรูปคู่กับเส้นทางสวยๆ นั่นเอง
อาบน้ำแร่ แช่น้ำพุร้อน Pooring Spring
อีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากๆ ทั้งจากชาวบ้านท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวเลยก็คือ การแช่ตัวผ่อนคลายในน้ำพุร้อน ท่ามกลางอ้อมกอดของภูเขาคินาบาลู นั่นเองค่ะ โดยบ่อน้ำพุร้อน Pooring Spring ตั้งอยู่ห่างจากสำนักงานประชาสัมพันธ์ของอุทยานแห่งชาติฯ ประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น
และไม่ไกลจากบ่อน้ำพุร้อน ยังเป็นที่ตั้งของ สวนพฤกษศาสตร์ และ ทางเดินบนยอดไม้ ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมความสมบูรณ์ของธรรมชาติจากทั้งบนพื้นราบและมุมสูงจากสะพานบนยอดไม้ แวะถ่ายรูปธรรมชาติสวยๆ ให้สดชื่นใจ ซึ่งบนเส้นทางเดียวกันนี้เอง ยังสามารถเดินต่อไปยัง น้ำตก Kipungit Waterfall และ น้ำตก Langanan Waterfall รวมถึง ถ้ำค้างคาว ได้อีกด้วยค่ะ
จิบชาออร์แกนิก
หากคุณคือหนึ่งในแฟนตัวยงที่โปรดปรานการชิมชา บอกเลยว่าต้องถูกอกถูกใจรสชาติชาออร์แกนิกใน ไร่ชาซาบาห์ แน่ๆ เพราะชาที่นี่ได้รับการการันตีว่าเป็นชาออร์แกนิก 100% แห่งเดียวในมาเลเซีย หากได้ลองมาเยือนแนะนำว่าควรหาโอกาสลิ้มลองชาอันโด่งดังของมาเลเซียให้ได้สักหน
ผ่อนคลายไปกับสปาปลา
ถ้าการเดินชมธรรมชาติ ทำให้ฝ่าเท้าเมื่อยล้า ลองมาผ่อนคลายด้วยการทำสปาปลาใน เมืองราเนา (Ranau) ซึ่งเป็นการหย่อนเท้าลงในบ่อที่มีน้องปลาว่ายเวียนไปมาประมาณ 15-30 นาที เพื่อความผ่อนคลาย
นอนแผ่กายในบ้านฮอบบิท
การได้นอนนิ่งๆ ในบ้านพักสไตล์ฮอบบิทสีสันสดใส ท่ามกลางธรรมชาติ และอากาศหนาวเย็นในเมืองเล็กๆ แสนทรงเสน่ห์ อย่าง ราเนา (Ranau) ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกยอดฮิตของนักท่องเที่ยว ที่นี่เราสามารถใช้ทั้งวันไปกับกิจกรรมสุดโปรดอย่าง การนั่งอ่านหนังสือ ฟังเพลง และทานอาหารมื้ออร่อย ในบ้านหลังเล็กที่มีเอกลักษณ์
จะเห็นได้ว่า ทริปมาเยือนยอดเขาคินาบาลู เหมาะกับนักเดินทางทุกเพศทุกวัยจริงๆ ค่ะ ซึ่งถ้าใครไม่มั่นใจว่าจะสามารถพิชิตยอดเขาอันแสนท้าทายได้หรือไม่ ก็สามรถเปลี่ยนใจมาใช้เวลาในวันหยุดอันแสนมีค่าแบบชิลๆ ท่ามกลางมรดกโลกบนเกาะบอร์เนียวนี้ก็ได้เช่นกัน แล้วเจอกันนะคะ…
Sharif Putra / Shutterstock.com