เมืองหลวงพระบาง สปป.ประเทศลาว เป็นหนึ่งในเมืองที่ผู้เขียนได้จดไว้ในสมุดบันทึกว่าเป็น 1 ในเมืองที่อยากเดินทางไปเยือนสักครั้ง แล้วก็มีโอกาสได้ไปจริงๆ เมืองหลวงพระบางทุกวันนี้คราคร่ำไปด้วยผู้คนทั้งจากประเทศไทย และนานาประเทศ เดินไปซอกไหนมุมไหน ถ้าไม่เจอคนไทยด้วยกัน ก็จะเจอชาวต่างชาติไม่ว่าญี่ปุ่น จีน หรือทางฝั่งยุโรป น่าแปลกใจที่หลวงพระบางเป็นเมืองที่เล็ก ๆ ที่มีขุนเขาล้อมรอบ และโอบกอดด้วยน้ำคานและน้ำโขง ช่างมีสเน่ห์ดึงดูดให้ผู้คนหลงใหลในความเรียบง่าย และความเงียบสงบที่ขัดแย้งกับจำนวนผู้คนที่มาท่องเที่ยวในเมืองหลวงพระบาง แม้กระทั่งผู้เขียนเอง ก็ยังแอบมีใจหลงใหลกับมนต์สเน่ห์ของเมืองหลวงพระบางแห่งนี้เช่นกัน ทั้งอากาศที่เย็นสบายกว่าบ้านเรา อาหารที่มีรสชาติที่ดี แม้จะเป็นอาหารปรุงง่าย ๆ เช่น ส้มตำ หรือเฝอ ก็ล้วนแต่มีรสชาติที่ดีทั้งนั้น เราเดินทางไปเมืองหลวงพระบางในเวลาบ่ายกว่า ด้วยเที่ยวบินของแอร์เอเชีย ใช้เวลาประมาณชม.ครึ่ง ผ่านตม.เรียบร้อย ก่อนออกจากสนามบิน มีเคาน์เตอร์บริการเปลี่ยนซิมโทรศัพท์ ราคาไม่แพงมาก เปิดแล้วสามารถใช้โทรศัพท์ และอินเตอร์เน็ตได้ด้วย แถมขากลับสามารถถอดขายคืนให้กับร้านที่เราซื้อซิมนั้นด้วยก็ได้ แต่จำราคาไม่ได้แล้ว ส่วนที่พักเราไปพักกันที่โฮมสเตย์แถว ๆ ซอยมาโจ โอ้โห ที่พักที่นี่ มีตั้งปากซอยยันท้ายซอย แถวตามตรอกซอกซอยน้อย ๆ ก็ยังมีที่พักให้เลือกเยอะแยะไปหมด ใครไปก็ไม่ต้องกลัวว่าที่พักจะไม่มีนะ เราว่ามีแต่อาจจะต้องใช้เวลาในการเดินหาสักหน่อย สำหรับที่พักของเราน่าจะเป็นบ้านพักที่เจ้าของบ้านได้ดัดแปลงให้มีห้องพักเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว แต่ยังคงรูปแบบเรือนพื้นถิ่นไว้อย่างสวยงาม ส่วนราคานั้นมีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันบาท ที่นี่ยังใช้เงินไทยได้อยู่ แต่อาจจะเสียเปรียบเล็กน้อยหรือเราอยากถือเงินล้านก็สามารถใช้บริการแลกเงินที่ฝั่งลาวก็ได้ มีบริการให้แลกอยู่เช่นกันค่ะ เย็นนี้พกเงินเป็นล้าน ๆ กินอะไรดี การเดินทางในหลวงพระบางนี่ ส่วนใหญ่จะเดิน ปั่นจักรยาน หรือจะโบกรถรับจ้างในเมืองหลวงพระบางก็ได้ ป้ายแรกของวันนี้ ใจจริงคืออยากไปตลาดมืด สำรวจตลาดขอฝาก แต่เผอิญมันยังไม่มืด ตลาดเลยยังไม่มา ก็เลยต้องไปวัดพระธาตุพูสี ซึ่งก็ติดกับตลาดมืดนั่นหล่ะ เราก็เลยต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่าเห็นทางขึ้นถึงกับถอนหายใจ แต่อ่านรีวิวหลวงพระบางเห็นว่าเป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สวยที่สุด ก็เลยกัดฟันเดินจงกรมภาวนาขึ้นไปเรื่อย ๆ ระหว่างครึ่งทางมีตู้ให้บูชาดอกไม้สำหรับขึ้นไปไหว้พระและเก็บเงินค่าขึ้นชม เดินขึ้นไปจนถึงยอดเขา เหมือนหมาหอบแดด โดยมีคุณตาคุณลุงชาวญี่ปุ่นที่เดินสวนลงมาชูนิ้วให้กำลังใจ ที่เราได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ กับลมหายใจแฮ่ก ๆ ได้นมัสการพระธาตุแบบไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ เนื่องจากเวลาที่ขึ้นไปเป็นช่วงเย็น คนก็เลยมากระจุกกันอยู่บนยอดเขาใกล้ ๆ กับพระธาตุเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกดิน และเข้าแถวถ่ายรูปจุดชมวิว ส่วนตัวเองคิดว่า ขึ้นมาถึงยอดแล้วก็แปะโป้งไว้ แล้วก็เดินโซซัดโซเซ ลงมาหาอะไรในตลาดมืดกินดีกว่า ตลาดมืด ในตอนแรก นึกว่าเป็นตลาดขายของเถื่อน ที่จริงตลาดมืด เป็นตลาดขายของตอนเย็น มันมืดไง เลยเรียกตลาดมืด ตลาดมืดอุดมไปด้วยของฝากนานาชนิด ข้างตลาดมืดมีซอกเล็ก ๆ เป็นเหมือนตลาดโต้รุ่ง แต่ไม่รู้ว่าโต้รุ่งจริงมั้ย ผู้เขียนหิวจนตาลาย และมีภาวะขาดปลาร้าในเลือดอยากรุนแรง เจอกับปลาย่างที่บอกชื่อไม่ถูกเนื้อนุ่มชุ่มลิ้น กินแกล้มกับส้มตำหลวงพระบาง งานนี้จกข้าวเหนียว โป้คีบปลากับส้มตำฟินที่สุด (เป็นลักษณะการกินที่ใช้ข้าวเหนียวคุ้ยกับข้าวแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือคีบกับข้าวให้ติดกับข้าวเหนียวแล้วนำมาใส่ปาก) กินกันสองคน ปลาสองตัว ส้มตำสามจาน กับต้มอะไรสักอย่างคล้าย ๆ สุกี้ แต่ไม่ใช่ กินกันอิ่มไส้จะแตก เยอะแม่ค้าขำ … คืนนี้หมดเรี่ยวหมดแรง ปวดเข่า ปวดข้อ ไม่มีแก่ใจที่จะเดินดูอะไรในตลาดมืด ซมซานกลับห้องไปนอน ทริปวันที่สอง วัง วัด และวัด ปกติคนไปทริปเขาจะนิยมตักบาตรข้าวเหนียว แต่เรามาทริปนี้บอกตรง ๆ คือขี้เกียจตื่น ก็เลยไม่ไปร่วมกิจกรรมตักบาตร มีแต่ตื่นแล้วก็เดินไปตลาดเช้า อย่างว่า ซอยโจมาที่เราอยู่ห่างจากตลาดเช้าไม่กี่ร้อยเมตร เช้านี้เราเดินไปกินเฝอข้างแม่น้ำโขง คนที่นี่กินเฝอกับผักสด ที่เรียกว่าผักสลัดน้ำ แต่บ้านเราเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า วอเตอร์เกรฟ แล้วคนที่นี่ก็ละเมียดละไม ใส่ใจในรายละเอียดมากเพราะผักที่เอามาเสิร์ฟ เขาจะล้างทำความสะอาดก่อน แล้วก็มัดเป็นมัดเล็ก ๆ ให้เรามาเด็ดกินอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ก็รอคณะทัวร์คนอื่น ๆ ที่ยังไม่มาด้วยการไปเดินตลาดเช้า เสียดายว่าตื่นสายไปหน่อย ตลาดเช้าก็เลยวาย น้อง ๆ ที่ไปเช้ากว่าเรา เล่าว่า เจอไอ้หางยาว ถูกตัดเป็นท่อน ๆ ใหญ่กว่าต้นขาเอามาขายที่ตลาด ขายกันแป๊บ ๆ ก็หมด ท่าทางจะเป็นสินค้ายอดนิยมแฮะ ส่วนเราไปเดินตลาดเช้าแค่ชิม ๆ เลยหมายใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาเดินให้ฉ่ำ สำหรับป้ายแรกในเช้านี้ คือ วัดเชียงทอง ที่วัดเชียงทองเราได้เข้าไปไหว้พระและเดินชมความงามของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นของลาว ทั้งสิมเก่าที่มีหลังคาซ้อนดัดโค้งสวยงาม และหอไหว้สีกุหลาบประดับตกแต่งด้วยแว่นแก้วหรือกระจกหลากสี เป็นมุมถ่ายภาพยอดนิยม ถ่ายรูปเสร็จ เราก็ไปรอรถมารับเพื่อไปสถานีต่อไป พระราชวังหลวงพระบาง พระราชวังนี้เดิมเป็นที่อยู่ของเจ้ามหาชีวิตและครอบครัว ต่อมาเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองรัฐบาลก็เข้ามาดูแล ต่อมาได้ปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งก็ได้จัดแสดงเครื่องใช้ของเจ้ามหาชีวิต และพระมเหสี ตลอดจนของเก่ามีค่าต่าง ๆ และพระบาง พระคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบางด้วย พระราชวังเปิดให้ชมสองช่วง คือ เช้า 08.00-11.30 น. และ บ่าย 13.30-16.00 น. เสียดายภายในพระราชวังห้ามถ่ายรูป แถมต้องฝากอุปกรณ์ถ่ายรูป ก็เลยอด ช่วงบ่าย กินอิ่มแล้วเข้าที่พักนอนเล่นพอแดดร่มลมตกก็เลยออกไปเดินรอบ ๆ เมือง เดินไปเดินมาพบว่า เมืองหลวงพระบางเล็กจริงๆ แฮะ คือเดินไปเดินมาเดินรอบเมืองแล้วกลับมาที่เดิม แต่ก็เพลิน ๆ ดี เย็นนี้กินหมูกะทะที่ริมโขง อาหารการกินมีให้เลือกตั้งแต่บุฟเฟต์ไปจนกินเป็นชุด ๆ กินเสร็จก็เดินดูบ้านเรือนหลวงพระบาง สังเกตุว่าหลายหลังถูกทิ้งร้าง มาทราบในภายหลังว่าท่านเจ้าของบ้านเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะย้ายไปอยู่นอกเมือง ส่วนตัวบ้านจะปล่อยทิ้งร้างไว้ เนื่องจากความที่หลวงพระบางเป็นเมืองมรดกโลก การจะซ่อมแซมบ้านก็ต้องให้เป็นไปตามเงื่อนไขของ UNESCO (อันนี้ฟังเขาเล่ามาอีกที จริงเท็จประการใดไม่รู้แน่ชัด) ทีนี้เจ้าของบ้านอยากจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หรือรื้อถอนอะไรก็ลำบาก เลยสู้ทิ้งให้มันร้างและค่อย ๆ ผุพังไปตามเวลาน่าจะง่ายกว่าในการดูแลรักษาว่ายังงั้น เราก็ได้แต่มองอย่างเสียดาย ว่าสักวันเสน่ห์เหล่านี้คงจะเลือนหายไปตามกาลเวลา เดินจนขาล้า และเงินเริ่มหมดเพราะไปละลายทรัพย์ที่ตลาดมืดแล้วก็เดินหมดสภาพกลับที่พัก วันที่สาม ตื่นเช้ากว่าเมื่อวานนิดหน่อยไปกินข้าวเปียกที่ตลาดเช้า มีผักสลัดน้ำเป็นกับแกล้มเช่นเคย วันนี้เลยมีโอกาสได้ชมชีวิตของคนหลวงพระบางดู ๆ ไปก็คล้าย ๆ กับวิถีไทบ้านชาวอีสานสัก 30 ปีที่แล้ว หรืออำเภอที่อยู่ตามชนบทก็ไม่ผิดกัน เพียงแต่ตลาดเช้าของหลวงพระบางจะใหญ่กว่า ขายของเยอะกว่า แต่ของขายก็จะมีของพื้นบ้าน สัตว์ป่า รังผึ้ง (มิ้ม) ห่อใบตองจี่ไฟอ่อน ๆ ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายจนอดไม่ได้ที่จะซื้อมากินเล่นไปหลายห่อ ที่ตลาดเช้านอกจากของสดของแห้งที่จำหน่าย ก็ยังมีผ้าพื้นเมืองมาขายในราคาที่ค่อนข้างถูกกว่าที่ขายในตลาดมืด แล้วก็มีร้านขายกระเป๋าแฮนด์เมดที่สวยแตกต่างกับที่ขายอยู่ในตลาดมืดอยู่เจ้านึง ขายไม่แพง แถมต่อรองได้ด้วย ชิม ชอป ใช้ เรียบร้อย ก็ออกเดินทางไปหมู่บ้านหัตถกรรม ชมการทอผ้าต่าง ๆ ชมการสาธิตการทำเครื่องเงิน แต่ไม่มีตังค์เลยดูอย่างเดียว จากนั้นก็เดินทางต่อไปน้ำตกกวางสี หรือตาดกวางสี น่าจะอยู่ไกลจากหลวงพระบางพอสมควร เพราะนั่งหลับไปหลายตื่นก็ยังไม่ถึง พอไปถึงน้ำตกจ่ายค่าเข้าชมแล้วก็เดินขึ้นไปชมน้ำตก ความที่ไม่ได้ทำการบ้านมาก่อน เลยเดินไปแค่ครึ่งเดียวแล้วก็นั่งเอาเท้าแช่น้ำสบายใจ มารู้ทีหลังว่าถ้าเดินขึ้นไปอีกหน่อยก็จะได้ชมความงาม ที่งามมาก ๆ ของน้ำตก สงสัยจะต้องกลับไปซ่อมเสียแล้ว .. เราออกจากน้ำตกในเวลาประมาณบ่ายสามกลับมาถึงเมืองหลวงพระบางก็เย็นมากแล้ว แวะกินอาหารง่าย ๆ แถวโรงแรม แล้วก็แวะจิบอะไรเย็น ๆ ที่ร้านกาแฟหน้าปากซอย และมารู้ทีหลังว่าเป็นร้านดัง ชื่อร้าน กาแฟมาโจ อันเป็นชื่อซอยที่เราไปนอนนั่นหล่ะ กาแฟเขาก็อร่อยสมคำร่ำลือ รวมทั้งเค้กก็อร่อยด้วยค่ะ ใครไปก็อย่าลืมไปชิมละกัน วันที่ 4 ถ้ำปากอู และเดินทางกลับ วันนี้ละลายทรัพย์เป็นวันสุดท้าย เดี๋ยวเงินที่แลกมาจะใช้ไม่หมด เลือกซื้อผ้าผ่อนท่อนสไบเรียบร้อยแล้วก็มาแพคกระเป๋า เตรียมขึ้นรถ วันนี้เราจะไปถ้ำปากอู ถ้ำปากอูอยู่ห่างจากเมืองหลวงพระบางมาก ๆ ระหว่างทางเราขับเลียบแม่น้ำโขง ทัศนียภาพข้างทางสวยงามมาก ในใจคิดว่าขากลับจะบอกคนขับให้ช่วยจอดริมถนนให้เราได้แวะถ่ายรูปสักหน่อย สักพักเป็นผู้ชายสองสามคนใส่ชุดคล้าย ๆ พวกเจ้าหน้าที่ป่าไม้บ้านเรา เดินออกมาจากป่า ในมือมีอุปกรณ์ยาว ๆ คล้ายคันเบ็ด คุ้น ๆ ว่าเหมือนเคยเห็น ก็เลยถามคนขับรถว่าเค้าเป็นใครมาทำอะไรกันเหรอ (คือคิดว่าสงสัยจะไปตกปลากันแหง ๆ ก็มันอยู่ใกล้น้ำโขง) คนขับบอกว่าเค้ามาหาเก็บกู้ระเบิดกันหน่ะ เพราะหลายวันก่อนก็มีคนเจอลูกระเบิดลูกใหญ่เท่าเสาเรือน (อั่ยย่ะ ..) ดังนั้น ความคิดจะลงรถไปถ่ายรูปเป็นอันยกเลิก ถ่ายห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ บนรถก็ได้ เราไปจอดรถไว้ในหมู่บ้านแล้วก็เดินลงไปที่ชายหาด หาดริมน้ำโขงที่นี่สะอาดสวยงามมาก ๆ นักท่องเที่ยวก็ไม่เยอะ ส่วนใหญ่น่าจะเดินทางมาที่นี่ด้วยการนั่งเรือเสียมากกว่า ส่วนพวกเราพอไปถึงชายหาดก็ซื้อตั๋วเรือหางยาวข้ามฟากไปที่ถ้ำปากอู การไปถ้ำนั้นต้องเดินขึ้นบันไดแคบ ๆ และชันเป็นช่วง ๆ ป้าแกก็เลยต้องหยุดหายใจเป็นพัก ๆ พอไปถึงถ้ำก็ไหว้พระแล้วก็ชวนไกด์กลับลงมาด้านล่าง ด้านล่างเราเจอกับนักท่องเที่ยวต่างชาติกรุ๊ปใหญ่ ก็เลยไหว้พระอยู่ห่าง ๆ แล้วก็ข้ามโขงกลับไปฝั่งที่เราจอดรถ หาข้าวกินดีกว่า ร้านอาหารริมโขงมีอาหารให้เลือกหลายอย่าง แต่ที่ขึ้นชื่อมาฝั่งโขงไม่กินปลาน้ำโขงก็กระไร มื้อนี้จึงมีแต่ปลา ตั้งแต่ ต้มปลา ลาบปลา และอะไรอีกหลายอย่างที่เรียกชื่อไม่ถูก อิ่มหนำสำราญดีแล้ว ก็พากันเดินทางกลับ ระหว่างทางแวะหมู่บ้านคล้าย ๆ บ้านหัตถกรรม มีงูดอง ตะขาบดอง ชวนขนลุกขนพอง เราเดินถ่ายรูปเล่นนิดหน่อยแล้วก็ขึ้นรถกลับ วันนี้ต้องทำเวลานิดนึงเพราะเราจะเดินทางกลับประเทศไทย มาถึงสนามบินประมาณบ่ายนิด ๆ ขายซิมที่เคาน์เตอร์แล้วก็ทำพิธีการออกนอกเมือง ยื่นเอกสารแล้วก็ไปนั่งรอที่เกท นั่งไปนั่งมาเหมือนอาหารกลางวันจะหมดฤทธิ์ เลยต้องเดินหาของกินมาเยียวยา ขอบคุณสวรรค์ที่หลวงพระบางมีมาม่าขาย เลยรอดตายเพราะบะหมี่สำเร็จรูป ขึ้นเครื่องแล้วส่องกลับลงมามองเพื่อจดจำความงดงามของทัศนียภาพด้านล่างที่มีแม่น้ำโขงและแม่น้ำคาน ไหลโค้งมาโอบล้อมเมืองหลวงพระบาง ก่อนที่จะแยกผ่านไหลออกจากกันไปตามเส้นทางของแม่น้ำแต่ละสาย เหมือนกับชีวิตของเราที่เมื่อถึงเวลาก็ต้องแยกจากกันเช่นกัน เรื่องและภาพ โดยผู้เขียน