ไม่ใช่เรื่องแปลกหากการหลงทางคือความกังวลใจของใครหลายคน จนก่อให้เกิดความคิดอันแสนสับสนจนยากจะควบคุมตัวเองได้ เพราะคนเรามักจะกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้หรือมองไม่เห็น แต่เรามักกล้าเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามยามเมื่อเราปลอดภัย แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าระหว่างสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหลังผ้าปิดตากับความเป็นจริงที่กำลังปรากฏให้เราเห็นอย่างเด่นชัดอะไรคือสิ่งที่น่ากลัวกว่ากัน สิ่งสำคัญที่ยังทำให้ “ป้านวล” ศรีนวล วงศ์ตระกูล ยังคงมีพลังในการเดินทางตามหาความฝันก็คือทัศนคติที่ว่า เปลี่ยนความกลัวให้เป็นความกล้า เปลี่ยนการหลงทางให้เป็นโอกาสในการเรียนรู้ นั่นเอง อากาศยามเช้าในช่วงเดือนเมษายนของกรุงโรมถือว่าอบอุ่นสำหรับคนท้องถิ่น แต่สำหรับหญิงสูงวัยกลัวความหนาว อุณหภูมิ16 องศาก็ทำให้ขาสั่นได้เหมือนกัน หลังจากรับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมจัดไว้ให้จนสบายท้องแล้ว ก็ได้เวลาออกไปผจญภัยในกรุงโรมเป็นวันที่สอง และสถานที่ซึ่งเป็นไฮไลท์ของวันนี้คือ โคลอสเซียมและน้ำพุเทรวี่ นั่นเอง การเดินทางจาก Rome Termini ไปโคลอสเซียมนั้นสามารถเดินทางได้หลายช่องทาง นั่งรถไฟใต้ดินสาย B จาก Rome Termini ไปลงสถานี Colosseo ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ราคาตอนนั้นอยู่ที่ 2 ยูโร/เที่ยว นั่งรถบัสสาย 75 จากหน้าสถานี Rome Termini ไปลงป้ายสถานี Colosseo ใช้เวลา 10 นาทีโดยประมาณ ค่าใช้จ่าย 1.50 ยูโร/เที่ยว เดินชมเมืองได้ 3 เส้นทางเป็นระยะทาง 2 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 25 นาที ส่วนตัวป้ายังไม่คุ้นเคยกับสถานที่จึงเลือกใช้วิธีที่ 2 เนื่องจากอุปนิสัยส่วนตัวเป็นคนชอบนั่งรถชมเมืองมากกว่านั่งรถไฟใต้ดิน อีกทั้งได้ซื้อบัตร Roma Pass ไว้แล้วจึงสามารถเดินทางได้ไม่จำกัดเที่ยวและไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกด้วย โคลอสเซียม สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอายุกว่า 2,000 ปี เป็นสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ที่แสดงออกถึงความรุ่งโรจน์และความก้าวหน้าทางวิทยาการของอาณาจักรโรมัน มีความสูงเทียบเท่าตึก 12 ชั้น ในส่วนของอัฒจันทร์ถูกออกแบบให้เป็นรูปวงรีซึ่งทำให้ผู้ชมกว่า 50,000 คน สามารถมองเห็นการแสดงได้จากทุกพื้นที่ในสนามแห่งนี้ อีกทั้งยังมีระบบการระบายน้ำที่ดี เป็นต้นแบบของการสร้างสนามกีฬาขนาดใหญ่ในปัจจุบันอีกด้วย เป็นระยะเวลายาวนานเท่าไรไม่รู้ที่โคลอสเซียมถูกใช้เป็นสังเวียนประลองความกล้า ท้าความตาย ของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายด้วยจุดประสงค์ของการต่อสู้ที่แตกต่างกันออกไป มีสัตว์น้อยใหญ่จำนวนมากถูกบังคับให้เข้าสู่เกมส์แห่งชีวิตโดยที่พวกมันไม่ได้ปรารถนา เพียงเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับมวลมนุษย์เพื่อแลกกับอาหารและการอยู่รอดตลอดจนถึงอิสรภาพที่พวกมันคาดหวังทั้งที่มันอาจไม่เคยมีจริง จุดจบของสิ่งมีชีวิตอันน่าสงสารทั้งหลายเหล่านี้ก็มีอันต้องสังเวยชีวิตบนสังเวียนอย่างน่าเศร้าใจ แต่กฎแห่งกรรมคงจะยุติธรรมเสมอ เพราะหลังจากนั้นอาณาจักรโรมันก็ค่อย ๆ เสื่อมอำนาจ และประสบภัยพิบัติหลายประการ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วมใหญ่ ส่งผลให้โคลอสเซียมถูกทิ้งร้างโดยไม่มีใครใยดีร่วมร้อยกว่าปี จนรัฐบาลอิตาลีพึ่งทำการปรับปรุงครั้งแรกในปี ค.ศ.1800 นี้เอง ใจหนึ่งของป้าก็รู้สึกตื่นเต้นกับความยิ่งใหญ่ของสถานที่แห่งนี้ หากลองจินตนาการเอาตัวเองเข้ามาอยู่ท่ามกลางฝูงชน 50,000 คน คงเป็นความรู้สึกที่สุดยอดน่าดู อีกใจหนึ่งก็รู้สึกหดหู่กับความไม่แน่นอนของชีวิต เพราะอำนาจ ชื่อเสียง เงินทอง ทำให้ผู้คนต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่อย่างน่าเสียดาย ก็คงจะคล้ายกับสถานการณ์ปัจจุบันที่อำนาจเงินทองเป็นของล่อใจให้คนเราทำอะไรก็ได้โดยไม่สนใจวิธีการ และถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไร แต่สัจธรรมข้อนี้ยังคงใช้ได้จริงเสมอ การเดินทางในครั้งนี้เปิดโลกทัศน์ของหญิงชราอย่างป้าได้ดีจริง ๆ ไม่อยากบอกว่าตลอด 7 วันที่ป้าอยู่ในกรุงโรมไม่มีวันไหนที่ป้าจะไม่กลับมานั่งมองความยิ่งใหญ่และแสงไฟของโคลอสเซียมเลย น้ำพุเทรวี่ หลังจากอิ่มเอมกับบรรยากาศของสนามกีฬาขนาดใหญ่ใจกลางกรุงโรมเรียบร้อยแล้ว เป้าหมายต่อไปของป้าคือ น้ำพุเทรวี่ สถานที่ซึ่งในอดีตเคยเป็นจุดส่งน้ำของกรุงโรม ประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่มีลำคลองไหลผ่านบ้านเรือนก็จะนำน้ำจากน้ำพุแห่งนี้ไปใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งเมื่อก่อนน้ำพุเทรวี่ไม่ได้ยิ่งใหญ่สวยงาม อลังการงานสร้างขนาดนี้แต่เห็นเขาบอกว่าพึ่งบูรณะเมื่อสามร้อยกว่าปีมานี้เอง แต่ความน่าสนใจของคนที่นี่คือเวลาเขาจะสร้างอะไรก็สักอย่าง เขามักจะใช้ระบบการประกวดเพื่อหาแบบที่ดีที่สุดในการก่อสร้างเสมอ และคนที่ชนะการประกวดก็คือ อเลสซานโดร กาลิเลอี สถาปนิกชื่อดังชาวเมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งก็เป็นคนในตระกูลเดียวกับกาลิเลโอผู้ประดิษฐกล้องโทรทรรศน์หรือกล้องดูดาวนั่นแหละ แต่ก็มีดราม่าตามมาเมื่อชาวโรมลุกขึ้นประท้วงว่ารูปแบบน้ำพุเทรวี่ควรเป็นแนวคิดจากคนท้องถิ่นเท่านั้น ล็อตเตอรี่ฉบับนี้ก็เลยไปตกอยู่กับนิโคล่า ซาลวี่ ซึ่งไม่เคยมี Mega Project ชิ้นใดสำเร็จในช่วงชีวิตของเขาเลย แต่น้ำพุเทรวี่ คือมรดกชิ้นสุดท้ายซึ่งเขาได้ออกแบบไว้เป็นสมบัติของกรุงโรมและตัวเขาก็จากไปในขณะที่ทำการปรับปรุงไปได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่คนเก่งอาจไม่ต้องการบทพิสูจน์อะไรมากมาย และงานนี้เพียงงานเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลก(รวมทั้งป้าด้วย)ระลึกถึงประติมากรรมบาโรคที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลกไว้ใจไม่มีวันลืมเลือนอย่างแน่นอน เส้นทางจากโคลอสเซียมไปน้ำพุเทรวี่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย ป้าถามทางจากคนขายน้ำผลไม้เขาก็บอกให้ตรงอย่างเดียวอย่าเผลอไปเลี้ยวที่ไหน เพียงแต่อาจจะไกลหน่อยเขาก็เป็นห่วงว่าเราจะเดินไหวหรือเปล่า ซึ่งตอนที่ออกจากโคลอสเซียมยังมีเวลาเหลือพอสมควร เพราะขณะนั้นพึ่งจะ 11 โมงเช้า ป้าจึงตัดสินใจเดินชมบ้านเมืองไปเรื่อย ๆ ท่องไว้ในใจว่าตรงอย่างเดียว แต่ไม่รู้ว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดประการใด เพราะเส้นทางตรงอย่างเดียวนั้นตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างห้ามผ่านจึงให้เราเบี่ยงซ้ายไปใช้เส้นทางอื่น เหตุการณ์ตอนนั้นค่อนข้างสับสนเพราะสื่อสารกับคนทำถนนไม่รู้เรื่องเขาก็ชี้มือให้เราเดินไปทางซ้ายอย่างเดียว ครั้นจะเดินกลับก็มาเกินกว่าครึ่งทางแล้ว ที่สำคัญป้ายรถบัสในบริเวณนั้นก็ไม่มีอาจจะเพราะว่าถนนกำลังก่อสร้างเขาจึงเปลี่ยนเส้นทางหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ป้าเลยตัดสินใจเดินไปตามที่เขาชี้เพราะคิดว่าคงจะถามคนในพื้นที่ได้ไม่ยาก แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งสับสนเพราะบ้านเรือนในกรุงโรมจะเป็นตึกสูงเหมือนห้องแถวดูคล้ายกันไปเสียหมด ตอนนั้นป้ายอมรับว่าเริ่มกังวลมากขึ้นเพราะยิ่งเดินก็เหมือนยิ่งออกจากเส้นทางไปเรื่อย ๆ รถราก็วุ่นวายสับสน จะถามคนก็ไม่มีใครเดินผ่านเลย ในระหว่างที่มองไม่เห็นทางไปสายตาก็พลันไปเห็นหญิงเอเชียคนหนึ่งกำลังเดินจูงลูกสาวหน้าตาน่ารักเข้ามาอยู่ในระยะสายตา ป้าไม่รอช้ารีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือเพราะคิดว่าอย่างน้อยก็คนเอเชียเหมือนกัน เพียงคำแรกที่พูดออกไป หญิงวัยกลางคนรายนั้นก็หันมามองหน้าป้าอย่างสงสัยและถามกลับมาเป็นภาษาอังกฤษว่า “Where are you from ?” พอป้าตอบกลับไปว่าเป็นคนไทย เขาก็พูดไทยกลับมาเป็นชุดทำเอาป้าอึ้งอยู่ครู่หนึ่งเลย ป้าบอกว่ากำลังจะไปน้ำพุเทรวี่แต่บังเอิญถนนเส้นนี้ปิดตอนนี้ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเขาก็เลยอาสานั่งรถบัสไปส่ง ป้าเลยขอบคุณเขาเป็นการใหญ่และรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก ในระหว่างการเดินทางเราสนทนาถามไถ่ปัญหาสารทุกข์สุขดิบกันตามประสาคนไกลบ้าน แต่สิ่งที่ลืมที่สุดคือป้าลืมถามชื่อหล่อนไปเสียสนิท เพียงแต่จำได้ว่าลูกสาววัยกำลังน่ารักน่าชังคนนี้ เธอชื่อน้องขมิ้น ถึงเธอจะพูดภาษาไทยได้ไม่ชัดเจนสักเท่าไรแต่เธอก็สามารถเข้าใจในสิ่งที่ป้าสื่อสารกับแม่ของเธอได้เป็นอย่างดี จากสิ่งที่ป้าได้รับฟังมาก็พอสรุปได้ว่าชีวิตของคนไทยในอิตาลีค่อนข้างสบายดีเพราะประเทศแห่งนี้เป็นเมืองพหุวัฒนธรรม มีคนมากมายหลายเชื้อชาติต่างย้ายมาอยู่อาศัย ทั้งในฐานะผู้ลี้ภัยและในฐานะพลเมือง สิ่งสำคัญที่เธอพยายามกำชับกับป้าตลอดเวลาคือให้ป้าดูแลตัวเองให้ดี พยายามอย่าอยู่ในสถานที่แออัดเพราะมีเหตุการณ์ล้วงกระเป๋าหรือฉกชิงทรัพย์สินกันบ่อยครั้ง พยายามใช้รถโดยสารประจำทางหรือรถไฟใต้ดินให้มากที่สุดเพราะปลอดภัยกว่าการเดินบนท้องถนนแน่นอน เมื่อเดินทางมาถึงน้ำพุเทรวี่ เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ด้วยกันสักพัก หลังจากซึมซับบรรยากาศต่าง ๆ จนได้เวลาอันเหมาะสมแล้วเธอก็อาสาไปส่งป้าขึ้นรถไฟเพื่อกลับไปยังสถานี Rome Termini ส่วนน้องสาวชาวใต้ใจดีกับน้องขมิ้นก็แยกย้ายกับป้าตรงนี้เพื่อไปพบสามีของเธอที่มาจากเมืองอื่น สัจธรรมของการพบพามักจะมาพร้อมกับการจากลาเสมอ เราต่างยกมือรับไหว้และสวมกอดซึ่งกันและกันถึงแม้มันจะเป็นช่วงระยะเวลาอันสั้น แต่มิตรภาพที่หยิบยื่นให้แก่กันและกันยิ่งใหญ่เสมอ นี่คือประสบการณ์ดี ๆ ที่ป้ามักจะได้พบเจอในระหว่างการเดินทางเสมอ ภาพประกอบโดยผู้เขียน