ปรากแสนหวาน “เคยเป็นคนที่เชื่อในพรหมลิขิต ว่าชีวิตของคนทุกคน ถูกกำหนดขึ้นมาให้พบคนที่คู่กัน” เมื่อไหร่ที่นึกถึงปราก เสียงเพลงนี้จะดังขึ้นมาในหัว ละครเรื่องกลรักลวงใจ ฉากที่ตัวละคร เดินอยู่ในเมืองเก่า ในปราก จุดประกายให้ฉัน อยากไปเยือนปรากสักครั้งหนึ่ง ฉันเลื่อนปรากไว้เป็นอันดับท้าย ๆ ในการไปเยือนยุโรปแต่ละครั้ง นั่นเป็นเพราะ ฉันฝันว่าปรากจะเป็นจุดหมายแห่งการไปฮันนีมูนน่ะสิ ตั้งแต่ละครจบ ผ่านมาหลายปี ปรากก็ยังไม่ถูกเลือก เพราะยังไม่มีโอกาสเจอคนที่จะไปด้วย จนเมื่อไม่นานมานี้ความฝันเป็นจริง การจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรมจึงเกิดขึ้น เราพักกันที่โรงแรมเล็ก ๆ ที่อยู่ในตัวอาคารใหญ่โต ตึกโรงแรมดูเก่า แต่สวย ห้องพักของเราเหมือนห้องใต้หลังคา แต่สะอาด และบริการดีเยี่ยม และยังมีสวนเล็ก ๆ ให้นั่งเล่น และพนักงานบอกกับเราว่า เราสามารถเดินไปชมสถานที่ต่าง ๆ ได้จากโรงแรม โรงแรมชื่อ Hotel Klarov เราพักที่นี่ 2 คืน ค่าห้องพัก 226 ยูโรค่ะ อาหารมื้อแรกของเราเป็นอาหารเช็ก ที่ดู ๆ ไปก็คงจะไม่ต่างจากอาหารยุโรปในละแวกนี้ ฉันสั่งไส้กรอกย่าง เสิร์ฟมาคู่กับกะหล่ำดอง เปรี้ยว ๆ ไส้กรอกออกรสเค็ม แต่ทานกับกะหล่ำดองแล้วเข้ากันมาก ร้านก็ตกแต่งแบบพื้นเมือง ลูกค้าในร้านก็คนท้องถิ่น ใช่เลยปรากแบบที่ฉันอยากเห็น โรงแรมของเราอยู่คนละฝั่งกับเมืองเก่า เราเดินข้ามสะพานที่ขนานกับสะพานอันเลื่องชื่อของปราก คือสะพานชาร์ลส์ มองจากระยะไกล สะพานชาร์ลส์ดูเหมือนสะพานข้ามแม่น้ำธรรมดา ๆ แต่พอได้ไปเดินอยู่บนสะพานนั้นเอง กลับรู้สึกเหมือนสะพานมีชีวิต คงเพราะมีเรื่องราวในอดีตเกิดขึ้นมากมายบนสะพานแห่งนี้ รูปปั้นนักบุญเรียงรายตามแนวสะพาน ทำให้รู้สึกเหมือนสะพานนี้มีผู้คุ้มครองอยู่ ที่ฮอตที่สุดก็รูปปั้นเซนต์จอห์นแห่งเนโปมุก ที่ใคร ๆ ก็ไปลูบตรงฐานเพื่ออธิษฐานให้ได้กลับมาอีก ในยามเย็ม ผู้คนเดินกันอ้อยอิ่งไปตามสะพาน มีคนมาเล่นดนตรี ขายของที่ระลึก วาดรูป เราสองคนเดินเรื่อยเปื่อยแวะดูร้านรวงเพลินตา ข้ามไปฝั่งเมืองเก่า เพื่อที่จะไปชมหอนาฬิกาดาราศาสตร์ ที่เป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยว แต่ปรากฏว่าปิดปรับปรุง เราจึงเดินลัดเลาะหาของกินแถวนั้น เราเลือกร้านอาหารท้องถิ่นชื่อร้าน Mlejnice ร้านตกแต่งแบบพื้นเมือง ดูสลัว ๆ ให้ความรู้สึกย้อนยุค อาหารขึ้นชื่อของเมืองนี้ก็จะเป็นขาหมู เนื้อหมูหรือ เนื้อวัวในซอสข้นๆ ที่เรียกว่ากูหลาช ทานกับแป้งหั่นเป็นแว่น รสชาติเหมือนซาลาเปาเนื้อหนา ๆ แต่วันนี้ฉันสั่งซุป และปลาเทร้าท์ย่างพันด้วยเบคอน เค็มนิด ๆ หอมพริกไทย อร่อยมาก แล้วเราก็เดินเรื่อยเปื่อยอยู่แถวเมืองเก่าอีกพักใหญ่หลังอาหารเย็น ฉันสังเกตเห็นร้านขนมปังไอศกรีม ที่มีขนมปังม้วนเป็นเกลียว ๆ ย่างบนเตาถ่าน มีปล่องตรงกลาง โรยด้วยน้ำตาลกับอบเชยป่น เสิร์ฟกับไอศกรีมวนิลา มารู้ตอนหลังว่าเป็นขนมพื้นเมืองที่ใครมาต้องได้ชิม ไอศกรีมเนียนละมุนลิ้น แป้งขนมปังกรอบนอกนุ่มใน เคี้ยวเม็ดน้ำตาลกรุบ ๆ อร่อยมากเลยค่ะ วันถัดไปเราไปชมปราสาทปราก บนเขาสูง ทางเข้ามีโบสถ์ชื่อเซนต์วิตัส สวยงามมาก มองจากมุมสูงในบริเวณปราสาท เราจะเห็นตัวเมืองที่คลุมไปด้วยหลังคาสีส้มอิฐ นี่ละ ปรากของจริง ฉันเห็นร้านกาแฟสตาบัคส์ในบริเวณปราสาทด้วย ฉันรู้สึกว่าเป็นสาขาที่ได้ทำเลที่โรแมนติกมาก ๆ สามวันในปราก ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันเหมือนได้ย้อนกลับไปในอดีตยังไงยังงั้น คงเพราะเราใช้เวลาในเมืองเก่า เดินข้ามสะพานชาร์ลส์วันละหลาย ๆ รอบ ดูดดื่มความโรแมนติกของเมืองนี้ มองดูผู้คน ร้านค้า แม่น้ำวัลตาวาไหลเอื่อย ๆ เหมือนไม่เคยหยุดนิ่ง ผู้คนดูพลุกพล่าน แต่กลับรู้สึกสงบ คงเป็นเพราะอาคารเก่า ๆ หลังคาสีส้มนั่น ที่ทำให้เกิดความรู้สึกแบบนั้น แล้วคอยดู ว่าคำอธิษฐานของฉันจะเป็นจริงไหม สำหรับค่าใช้จ่ายในทริปนี้ ก็ไม่ได้ถือว่าแพงมากนัก เพราะเราอยู่ประเทศทางตะวันออกกลาง ซึ่งค่าครองชีพค่อนข้างจะสูง พอมาที่ปรากเลยรู้สึกว่า ราคาถูก ค่าโรงแรมสองคืนแรกที่ Hotel Klarov 226 ยูโร คืนสุดท้ายเราย้ายไปพักที่โรงแรม U Zlatych ซึ่งอยู่ติดกับสะพานชาร์ลส์ ราคา 165 ยูโร ห้องพักรวมอาหารเช้า ฉะนั้นเราก็ใช้จ่ายแค่มื้อเที่ยง และเย็น ค่าเดินทางแทบไม่ได้เสีย เพราะเดินไปเกือบทุกที่ สรุปค่าใช้จ่าย รวมค่าที่พัก น่าจะราว ๆ 20,000 บาท สำหรับสองคน สำหรับใครที่อยากพักแบบประหยัด ก็มีตัวเลือกหลากหลายมาก ลองออกเดินทางไปปรากสักครั้ง แล้วคุณจะอยากกลับไปอีกค่ะ " ภาพถ่ายโดยนักเขียน "