แช่มช้อย...แช่มช้า...ณ ปันนาบุรี
ผมเป็นเด็กบ้านนอกครับ สารภาพอย่างไม่อายว่า ผมใช้เวลานานเกินสิบปีที่จะปรับตัวให้เข้ากับระบบการเดินทางและขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ สมัยยังเป็นเด็กน้อยอยู่โรงเรียนวัดหิ้วปิ่นโตไปกินโรงเรียนในจังหวัดเล็กๆ ไม่ไกลจากเมืองหลวงนักผมอยู่ในชุมชนที่ประชากรไม่เกินร้อยคน เช้า (โดนลาก) ลุกขึ้นมาใส่บาตร พอเสร็จก็กินข้าวเช้า จากนั้นก็วิ่งปุเลงๆ เล่นอยู่แถวนั้น จนกว่าจะโมงครึ่ง (คือเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาทีนั่นแหละครับ คำว่า “โมงครึ่ง” นี่เป็นภาษาของผู้เฒ่าผู้แก่ที่น่ารักของผม จึงขออนุญาตเขียนถึงเพื่อบรรเทาความคิดถึง) ก็จัดแจงอาบน้ำอาบท่า ประมาณเจ็ดโมงสี่สิบแต่งตัวเสร็จ จากบ้านถึงโรงเรียนแค่สิบนาทีเท่านั้น เป็นไงครับ…ชีวิตผมน่าอิจฉาใช่ไหม…นั่นแหละ วันนี้ผมก็อิจฉาตัวเองในวันโน้นเหมือนกัน
พอเริ่มโตมาหน่อย ก็ต้องกลับเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเข้าโรงเรียนมัธยม เหมือนเด็กหลายๆ คนที่พ่อแม่เอาไปฝากตายายเลี้ยงแหละครับ ช่วงสามปีแรกเป็นสามปีที่ทรมานมากสำหรับผม เพราะทุกครั้งที่นั่งรถ ไม่ว่าจะรถส่วนตัว รถเมล์ รถแท็กซี่ หรือกระทั่งตุ๊กตุ๊ก ผมจะต้องมีอาการวิงเวียนอาเจียนหน้าเขียวหน้าเหลืองเพราะเมารถไปเสียทุกที จนผ่านสามปีไปอาการแบบนี้จึงค่อยยังชั่วขึ้น (ถ้ามันไม่ดีขึ้นสงสัยผมจะสิ้นชีวาวายไม่ได้มานั่งเขียนงานให้คุณๆ อ่านอยู่แน่ครับ)
แต่ชีวิตในเมืองใหญ่นับสิบปีของผมอาจจะพอทำให้ร่างกายเด็กบ้านนอกพอจะปรับตัวให้กลืนไปได้บ้าง แต่จะปรับใจให้ชอบนี่เห็นจะยาก ดังนั้นทุกครั้งที่ผมมีเวลาผมก็มักจะ “แว่บ” ออกนอกเมืองเสมอๆ
ผมโชคดีครับที่คนข้างๆ ผมเธอเรียกตัวเองว่า “นักสำรวจโลก” ที่เป็นประเภทไปไหนไปกัน ผมจึงมี “เพื่อนชีวิต” และ “เพื่อนเดินทาง” ในคนๆ เดียวกัน ย่อหน้านี้ขอเขียนถึงเธอด้วยความขอบคุณในความผูกพัน
ผมรักปายเมื่อสิบปีที่แล้ว เป็นปายที่ผมอาลัยอาวรณ์เจ้าหล่อนเหลือเกิน เธอที่งามแบบดอกไม้ป่า งามอย่างสาวเหนือผิวสวย กริยามารยาทสะอ้านตา ในอาภรณ์ผ้าฝ้ายและซิ่นสีพื้นงาม ทัดเรือนผมมวยเกล้าสูงด้วยเอื้องป่าส่งกลิ่นหอมกรุ่น…เธอผู้นั้นจากไปแล้ว และไปไกลแสนใจจนยากจะกลับมาในกระแสทุนนิยมและกระแสการเดินทางท่องเที่ยวที่ทำลายวิถีดั้งเดิมของแห่งหนตำบลนั้นๆ
ปายในราวปีพ.ศ.2545 ยังบริสุทธิ์กว่าปัจจุบัน ทำให้หลายครั้งที่มีคนชวนไปปาย ผมปฏิเสธด้วยเพราะอยากเก็บปายแบบที่ผมเห็นและรัก เป็นปายของผมคนเดียวในความทรงจำที่ไม่ต้องการจะให้ปายในวันนี้ที่เป็นเสมือนหญิงแปลกหน้าเข้ามาซ้อนทับภาพความทรงจำนั้น
ผมจึงเลือกที่จะมา “ปันนาบุรี” หรือ “ลิตเติ้ลปาย” ในฉายาที่หลายๆ คนเห็นด้วย
ไม่เหมือนเสียทีเดียวหรอกครับ แต่ในบางมุมมีส่วนคล้ายและทำให้คลายคิดถึงปายอย่างที่ผมรักได้บ้าง
ปันนาบุรีเป็นรีสอร์ทเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในความร่มรื่นของตำบลขนงพระ เดินทางจากกรุงเทพฯ ไม่ยากครับ ใช้เส้นทางจากกรุงเทพฯ วิ่งเส้นปากช่อง ผ่านโลตัสเลี้ยวขวา ไปทางเขาใหญ่ (ถนนธนะรัชต์) ประมาณ 3 กม. จะเจอ ป้ายแยกขนงพระ เลี้ยวซ้ายเข้าไปผ่านวัดขนงพระใต้ จะเห็นรีสอร์ทอยู่ทางซ้ายมือ
ผมไปที่นี่ตั้งแต่เพิ่งจะเริ่มสร้างใหม่ๆ เจ้าของเป็นครอบครัวเล็กๆ น่ารัก พี่ผู้ชายเป็นคนมีฝีมือเชิงศิลปะสูง ภาพที่ประดับอยู่ในรีสอร์ททั้งในสตูดิโอและในบ้านพักเกือบทั้งหมดเป็นฝีมือของพี่เขา ส่วนใหญ่จะเป็นรูปภรรยาและลูกสาวตัวน้อยน่ารักของเขาครับ จากที่คุยๆ กันดูเหมือนพี่เขาจะทำงานในแวดวงโฆษณา ผมไปทีไร ผมไม่เคยเห็นแกว่าง ไม่ถือค้อนถือตะปูสร้างอะไรอยู่สักอย่างก็จะเห็นก่ออิฐทำโรงเรียนทำอาคารหรือทำไม้ลื่นให้ลูกอย่างขันแข็งทุกทีไปครับ
จุดเด่นที่ผมรักมากก็คือศาลามุงจากหลังเล็กๆ ที่หันหน้าออกไปหาลำธารเล็กๆ ที่เป็นสายแยกลงมาจากเขาใหญ่ และต้นไม้ทั้งสองฝั่งที่ล้วนแต่เป็นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาครึ้มเขียวสะท้อนน้ำให้ความสงบและฉ่ำเย็น เย็นกายเนื้อ เย็นใจ แถมเย็นตา ภายในศาลาน้อยนั้นมีทั้งส่วนที่อยู่ในร่มในจากที่มีเปลญวนหลังใหญ่ผูกกับต้นเสาพร้อมด้วยหมอนขิตยัดนุ่นใบบางๆ แบนๆ ที่เก่าๆ นุ่มๆ หอมแดด รองกันหวายเปลบาดเนื้อ เอนหลังได้สบาย นอนฟังเสียงน้ำกระซิบตัดพ้อยอดไม้สีเขียวทองเหลือบแดดบ่าย แค่สักเจ็ดห้วงลมหายใจ คุณอาจจะผล็อยหลับไปอย่างแสนสุข
หรือถ้านึกอยากล่องเรือเอื่อยๆ หรือพายเรือเล่น พี่เจ้าของมีเรือพายเล็กๆ ส่วนตัวผูกไว้ริมตลิ่ง ไปขอยืมพายเล่นได้เหมือนกันครับ
ส่วนที่พัก อย่างที่ที่นี่ถูกเรียกว่า “ลิตเติลปาย” โดยส่วนตัวผม ผมคิดว่าทั้งการจัดรีสอร์ทให้มีต้นไม้มากๆ มีศาลามุงจาก มีเปลญวน มีบ้านพักเล็กๆ ที่เป็นเรือนใต้ถุนสูง หลังคามุงจาก ประตูหน้าต่างเป็นบานเฟี้ยมหรือกระจกยาวจรดพื้น ผมว่าเป็นบ้านพักสไตล์ปายสมัยก่อน (แต่สมัยนี้มีคนนำสไตล์นี้มาใช้ค่อนข้างเยอะแล้ว) ส่วนห้องน้ำที่นี่มีเสน่ห์และเซ็กซี่เหลือหลาย เป็นปูนเปลือยดิบๆ ฉาบอย่างมี Texture ของการฉาบ ด้านบนมีท้องฟ้าเป็นเพดานครับ เป็นห้องน้ำที่เปิดด้านบน มีเพียงผนังกั้นสายตาเท่านั้น เซ็กซี่ไหมล่ะ
ผมไม่เคยพักที่นี่ครับ เคยแต่ไปกินข้าวเช้า ข้าวเที่ยง ข้าวเย็น ไปนั่งอยู่ตั้งแต่เช้า ดื่มกาแฟ เขียนหนังสือ นั่งสังหารเวลาอย่างไม่กลัวบาป นั่งเรื่อยเปื่อย นั่งเพื่อใช้ชีวิตช้าลงชดเชยความรีบเร่งของชีวิตในเมืองใหญ่ ทอดอารมณ์ดูความงามของธรรมชาติที่เราหลงลืมมันไป
ที่ไม่ได้พักเพราะบ้านเดิมของคนตัวเล็กอยู่ไม่ไกลจากที่นั่นเท่าไหร่ครับ แต่ก็นึกเหมือนกันว่าถ้ากลับบ้านคราวหน้าอาจจะแวะไปนอนค้างสักคืน ถ้าไปจริงๆ จะถ่ายภาพในบ้านพักมาให้ชมครับ
อ้อ เพิ่มเติมอีกนิด พี่ผู้ชายแกเป็นนักสะสมจักรยานตัวยงครับ บางตัวปล่อยขาย ผมอุดหนุนแกมาสองคันด้วยราคาที่ถูกมาก และรถสภาพดีมาก นอกจากนี้ในสตูดิโอของพี่เขามีกีต้าร์สวยๆ มีภาพงามๆ และมีกล้องโบราณสวยๆ ที่เป็นของสะสมของพี่เจ้าของให้ดูด้วยครับ มุมนี้น่าจะถูกใจบรรดาเด็กแนว-ผู้ใหญ่อินดี้ทั้งหลาย
ถ้าสุดสัปดาห์นี้คุณกำลังหาที่พักผ่อนไม่ไกลกรุงเทพฯ ลองดูไหมครับ แต่ต้องจองล่วงหน้าราวสองวันครับ ถ้าสนใจลองดูรายละเอียดที่ www.pannaburee.com นะครับ