ในช่วงเทศกาลสงกรานต์เมื่อปี พ.ศ. 2559 ผมและสหายได้วางแผนเดินทางไปยังจังหวัดนครพนม เพื่อข้ามฝั่งแม่น้ำโขงไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บริเวณเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน โดยขั้นตอนแรกต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปรอทำบัตรผ่านแดนชั่วคราว ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง ในอัตราค่าบริการเกือบ 50 บาทต่อคน (สำหรับคนที่ไม่มี passport) ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จึงจะสามารถเดินผ่านลงมาขึ้นเรือข้ามฟาก อันมีค่าบริการอีกคนละ 60 บาท ระยะเวลาผ่านไป 15 นาที เรือก็แล่นมาสู่ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าแขก พร้อมยื่นบัตรผ่านแดนชั่วคราวและเงินจำนวน 50 บาทเพื่อเป็นค่าผ่านแดนอีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วจึงออกมาภายนอกด่าน เพื่อสอบถามและต่อรองราคากับรถสามล้อที่เรียกกันว่า skylab ซึ่งเรทราคาจะขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้โดยสารและสถานที่ที่จะเดินทางไป เมื่อต่อรองราคากันลงตัว คนขับรถก็ไม่รีรอ รีบขับซิ่งพาเราไปแลกเงินตราจากเงินบาทไทยเป็นเงินกีบลาว จำได้คร่าว ๆ ว่าอัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้นอยู่ที่ประมาณ 1 บาทต่อ 270 กีบ ฉะนั้นเมื่อพวกเราแต่ละคนแลกเงินไทยในราคาหลักพัน จึงได้เงินกลับมาจำนวนมากกว่า 270,000 กีบ โอ้วแม่เจ้า ! เป็นมหาเศรษฐีกันเลยทีเดียว แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ฮ่า ๆๆ สถานที่แรกที่เดินทางไปก็คือ “ถ้ำนางแอ่น” ซึ่งอยู่ห่างจากด่านตรวจคนเข้าเมืองไปทางทิศตะวันออกประมาณ 20 กิโลเมตร เมื่อไปถึงก็ต้องตกใจกับค่าผ่านด่านประตูที่ดักอยู่ปากทางเข้า เพราะสำหรับชาวต่างชาติ (อย่างเช่นคนไทยเอง) มันเป็นราคาที่แพงมาก เทียบได้กับอัตราค่าบริการตามสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศไทยนั้นแหละ รถขับมาไม่นานก็ถึงบริเวณลานกว้าง มองเห็นบันไดขึ้นสู่ถ้ำอย่างชัดเจน ทันใดนั้นก็มีไกด์ชาวพื้นถิ่นมาขออนุญาตนำชมภายในถ้ำ (ทั้ง ๆ ที่พวกเราไม่ได้เอ่ยปากขอ) แต่เห็นว่าไกด์คนนี้อัธยาศัยดี พูดสุภาพอ่อนโยน จึงตกลงปลงใจที่จะเดินตามไป ไกด์ผู้นี้บรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติของถ้ำอันเกี่ยวเนื่องกับความรักของชายหญิง รวมทั้งลักษณะทางกายภาพของถ้ำ ไม่ว่าจะเป็นหินงอกหินย้อย เสาหินปูนรูปร่างแปลกประหลาด ฯ ทำให้พวกเราตื่นเต้นและได้รับความรู้อยู่ตลอดเวลา แม้ว่าคำที่พูดมาจะเป็นคำลาว แต่อย่างน้อยก็มีเจ้าถิ่นอีสานสหายผู้ร่วมเดินทางคอยแปลความหมายของคำที่ไม่เข้าใจ นอกจากนี้ยังมีบริการล่องเรือลอดเข้าไปชมความงามของน้ำด้านล่างอีกด้วย แต่เนื่องจากต้องเสียเงินและใช้ระยะเวลานานจึงปฏิเสธ ซึ่งเมื่อรับประทานอาหารเสร็จ หมายจะไปเดินดูเสื้อยืดสกรีนลายท่องเที่ยวประจำ สปป.ลาว ด้วยคิดว่าราคาถูก แต่ที่ไหนได้ราคาพอ ๆ กับเสื้อยืดในประเทศไทยนั้นแหละ เมื่ออิ่มท้องก็ได้เวลานั่งรถต่อไปยังพระธาตุศรีโคตรบอง ซึ่งระหว่างทางต่างชุ่มฉ่ำด้วยน้ำจากสองฟากฝั่งถนน จนกระทั่งเดินทางมาถึงวัดศรีโคตรบอง ซึ่งมีพระธาตุศรีโคตรบองคู่บ้านคู่เมืองคู่พระธาตุนคร เป็นที่ประดิษฐานพระประธานประจำอุโบสถ ปางมารวิชัย ศิลปะลาวองค์งาม และอนุสาวรีย์พระยาศรีโคตรบองกษัตริย์พระองค์หนึ่งในสมัยอาณาจักรโคตรบูรณ์ อีกทั้งยังมีจุดชมวิวริมแม่น้ำโขงซึ่งมองเห็นดินแดนฝั่งนครพนมอีกด้วย จุดเด่นของสงกรานต์ ณ วัดพระธาตุศรีโคตรบอง คือ การสรงน้ำพระพุทธรูปประธานด้วยการนำน้ำไปประพรมและรดลงบนองค์(หรือฐาน)ของพระพุทธรูปจนเปียกไปทั่วพื้นอุโบสถ ทำเอาผมตกอกตกใจเป็นการใหญ่เมื่อได้เห็น นอกจากนั้นยังมีความงดงามของการเล่นสงกรานต์สองประการ ซึ่งผมจำได้ขึ้นใจ คือ ประการแรกไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น หรือคนแก่ สิ่งหนึ่งที่ต้องทำในช่วงสงกรานต์คือการเข้าวัดทำบุญสรงน้ำพระพุทธรูปแต่ละแห่งที่ตนเองหรือครอบครัวเดินทางผ่าน ประการที่สอง “ความรู้จักกาลเทศะ” กล่าวคือวัยรุ่นลาวชอบเล่นน้ำที่ผสมสีแล้วผูกมัดไว้ในถุงเตรียมขว้างปาใส่ผู้คนที่เดินทางผ่านช่วงเทศกาลสงกรานต์ (ซึ่งเป็นเรื่องปกติ) แต่สำหรับเราคือไม่ ! ดังนั้นเมื่อรถพวกเราแล่นผ่าน คนขับรถจึงส่งสัญญาณว่าไม่ให้กระทำการแบบนั้น เพราะเขาคือนักท่องเที่ยว เปียกน้ำได้แต่ห้ามเปียกสี เมื่อเห็นเช่นนั้นวัยรุ่นเหล่านั้นก็วางถุงน้ำสีลงและเปลี่ยนมาเป็นการรดน้ำแทน ดูแล้วเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามประการหนึ่ง อันติดตรึงในความทรงจำของพวกเราไปตลอด จนปรารถนาอยากเดินทางไปยังประเทศลาวอีกหลาย ๆ ครั้งในอนาคต และก่อนเดินทางข้ามมายังดินแดนประเทศไทย พวกเราได้แวะตลาดขายสินค้าขนาดใหญ่ เพื่อช้อปปิ้งสินค้าดี ๆ ราคาถูก กลับบ้านมาอย่างมีความสุข