เที่ยวญี่ปุ่นปี 2026 อาจจ่ายแพงขึ้น! มาตรการสองราคา แก้ปัญหา Overtourism

ใครที่วางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่นในปีหน้า มีข่าวมาฝากว่า เราอาจจะต้องจ่ายแพงขึ้นกว่าเดิมในบางสถานที่ท่องเที่ยว เนื่องจากปัญหา Overtourism หรือนักท่องเที่ยวล้นทะลักนั่นเอง งานนี้หลายๆ ที่เลยเตรียมใช้ มาตรการสองราคา (Dual Pricing) กับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อแก้ปัญหา แล้วมันคืออะไร? ทำไมถึงต้องมี? เราจะพาไปเจาะลึกกัน
เที่ยวญี่ปุ่นปี 2026 อาจจ่ายแพงขึ้น!
มาตรการสองราคา แก้ปัญหา Overtourism
ระบบสองราคา คืออะไร? ทำไมญี่ปุ่นถึงต้องใช้มาตรการนี้? 🤔
ช่วงปีที่ผ่านมา ประเทศญี่ปุ่นนับว่าฮอตฮิตติดลมบนมากๆ ด้วยอิทธิพลของค่าเงินเยนที่อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเที่ยวญี่ปุ่นดูจะสบายกระเป๋าขึ้นเยอะ บวกกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลญี่ปุ่นเอง ก็ยิ่งเป็นผลให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาในญี่ปุ่นมากเป็นประวัติการณ์
จากสถิติปี 2024 ที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าญี่ปุ่นกว่า 36 ล้านคน แม้ว่าการท่องเที่ยวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้คึกคัก แต่จำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไปก็ก่อให้เกิดปัญหาที่เรียกว่า Overtourism หรือภาวะนักท่องเที่ยวล้นในหลายพื้นที่ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องความแออัดเท่านั้น แต่ยังกระทบไปถึง
- ด้านวัฒนธรรม : เกิดความเสียหายต่อสถานที่ทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม
- สิ่งแวดล้อม : ขยะเพิ่มขึ้น และทรัพยากรธรรมชาติถูกใช้เกินขีดจำกัด
- คุณภาพชีวิตคนท้องถิ่น : การจราจรติดขัด ราคาที่พักและสินค้าสูงขึ้น และความไม่สะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน
เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ รัฐบาลญี่ปุ่นจึงเตรียมนำ ระบบสองราคา หรือ Dual Pricing System มาใช้ โดยจะกำหนดราคาค่าเข้าชมหรือบริการสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้แตกต่างจากชาวญี่ปุ่นนั่นเอง ฟังดูอาจจะรู้สึกว่าทำไมเราต้องจ่ายแพงกว่า? แต่จริงๆ แล้ว มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระจายนักท่องเที่ยว ลดความแออัด และนำรายได้ส่วนเพิ่มไปใช้ในการบำรุงรักษาสถานที่ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น ทำให้การท่องเที่ยวเป็นไปอย่างยั่งยืนมากขึ้น
ที่ไหนในญี่ปุ่นเริ่มใช้แล้วบ้าง? 📍
แม้ในปัจจุบันจะยังไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวใดในญี่ปุ่นที่เริ่มใช้ระบบสองราคาอย่างเป็นทางการ แต่มาตรการนี้กำลังถูกเตรียมนำมาใช้ในหลายพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวล้นเมือง
หนึ่งในนั้นคือ ปราสาทฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโงะ 🏯 ซึ่งเป็นหนึ่งในปราสาทที่สวยที่สุด และเป็นมรดกโลกของญี่ปุ่น ทางปราสาทได้ประกาศว่าจะเริ่มใช้ระบบสองราคาตั้งแต่ปี 2026 โดยจะปรับราคาสำหรับคนนอกพื้นที่เมืองฮิเมจิ (ซึ่งรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเราๆ ด้วย) จาก 1,000 เยน เป็น 2,500 เยน ส่วนชาวเมืองฮิเมจิยังคงจ่ายในอัตราเดิม
ขณะที่ฝั่งโอกินาวา สวนสนุกแนวธรรมชาติแห่งใหม่ JUNGLIA OKINAWA 🌴 ก็เตรียมใช้ระบบนี้ตั้งแต่วันเปิดทำการในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2025 โดยกำหนดค่าเข้าชมสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่นอกประเทศญี่ปุ่นไว้ที่ 8,800 เยน ส่วนผู้พำนักในญี่ปุ่นจะจ่ายเพียง 6,930 เยนเท่านั้น
นักท่องเที่ยวอย่างเราควรเตรียมตัวยังไงดี? 🎒✨
แม้จะมีมาตรการนี้ออกมา แต่ญี่ปุ่นก็ยังเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าเที่ยวมากๆ อยู่เสมอ แค่เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากขึ้นเท่านั้นเอง
- ตรวจสอบข้อมูลค่าเข้าล่วงหน้า : สำคัญที่สุดเลยคือ ก่อนไปเที่ยวที่ไหน ให้เช็กข้อมูลค่าเข้าชมในเว็บไซต์ทางการของสถานที่นั้นๆ ก่อนเดินทางเสมอ เพื่อจะได้วางแผนงบประมาณได้ถูกต้อง
- พิจารณาบัตรเหมารวม : เช่น JR Pass สำหรับการเดินทาง หรือบัตรรวมพิพิธภัณฑ์ในพื้นที่นั้นๆ เพื่อให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น เพราะบางครั้งบัตรเหล่านี้อาจช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายโดยรวมได้
- ทำความเข้าใจ และสนับสนุนการอนุรักษ์ : ให้ลองมองว่าราคาที่เราจ่ายไปบางส่วนนั้น อาจเป็นการช่วยสนับสนุนการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และสิ่งแวดล้อมของสถานที่นั้นๆ ให้คงอยู่สวยงามไปอีกนาน เพื่อให้เราและคนอื่นๆ ได้ไปเยือนในอนาคต
สุดท้ายนี้ การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดก็เพื่ออนาคตการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนของญี่ปุ่นนั่นเองครับ แม้จะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ถ้าเราวางแผนดีๆ และเข้าใจถึงเจตนาของมาตรการนี้ การเที่ยวญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม และคุ้มค่าอย่างแน่นอน
====================
ขอบคุณข้อมูลดีๆ และภาพจาก www.japankuru.com