หลังจากที่ช่วงหยุดเทศกาลอีสเตอร์ เราก็ได้ออกเดินทางจาก Graz - Vienna - Brno และสถานที่ต่อไปที่เราแวะก็คือ Bratislava ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสโลวาเกียที่ไม่ไกลจากเวียนนาเลย นั่งรถไฟไปแค่ชั่วโมงนิดๆก็ถึง เรียกได้ว่าใกล้กว่ากราซเสียอีก ซึ่งตอนที่เรายังอยู่ที่เบอร์โน่ก็ถามเพื่อนที่พักโฮสเทลเดียวกันว่าบราติสลาวาเป็นไงบ้าง เพื่อนก็ตอบว่าได้อยู่ แต่ไปวันเดียวก็เกินพอแล้ว หลังจากเช็คเอาท์ เราก็ออกไปยืนรอ Flixbus ที่สถานี ปรากฎว่ารถดีเลย์ไปนานมากกกกก ประกอบกับตอนนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ตเลยรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปช้ากว่าปกติ อ่านหนังสือจนเจ็บคอ 55555555 แต่สุดท้ายรถก็มาพร้อมกับพาเราไปยังสถานีรถบัสที่บราติสลาวาโดยสวัสดิภาพ ทริปนี้ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ใช้อินเตอร์เน็ตถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ว่าง่ายๆคือเดินทั้งทริป ซึ่งพอถึงสถานีรถบัสก็เดินหาโฮสเทลจนขาลาก 2 กิโลประกอบกับเป้ใบใหญ่ไม่คิดว่าจะเหนื่อยขนาดนี้ คิดไว้ว่าจะถึงที่พักประมาณบ่ายสาม แต่สรุปเพราะรถดีเลย์ก็ล่อไปถึงห้าโมงเลยทีเดียว พอขึ้นไปเช็คอินก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกชื่อเรา ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะ: 1. เราไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เราอยู่ไหน 2. เราออกมานอกออสเตรีย และเพื่อนทุกคนก็กลับประเทศตัวเองกันหมด พอหันไปปรากฎว่าเป็น Melanie เพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนคนเยอรมันที่มอ ซึ่งพวกเราไปเที่ยวเวียนนาด้วยกัน ก่อนที่จะแยกย้าย เราขึ้นไปเบอร์โน 3 คืน และเมลานี่มาบราติสลาวา 3 คืน หมายความว่าพอเรามาถึงที่นี่ เมลานี่ก็กลับออสเตรียไปแล้ว แต่เธอบอกว่าเธอไปสนิทกับเพื่อนที่พักห้องเดียวกันเลยตัดสินใจอยู่ต่อคืนนึง และเหลือบมาเห็นเรากำลังเช็คอินพอดี และมั่นใจมากว่าใช่เราเพราะกระเป๋าสีส้มจี๊ดสะดุดตา ขอเซนเซอร์หน้าเพราะโทรมไม่ไหวแล้ว 5555555 คุยกันไปสักพักเมลานี่ก็บอกว่าให้เอาของไปเก็บที่ห้องแล้วไปนั่งเล่นที่ห้องนางได้นะ เพราะอยู่ชั้นบนสุดแล้วมีระเบียงออกไปนั่งจิบเบียร์ชมวิวกับเธอและเพื่อนๆได้ เราก็ตอบตกลงแล้วขึ้นไป เมลานี่แนะนำเพื่อนใหม่ให้เรารู้จักสามคน: John จากอังกฤษ เป็นคนที่ตลกและใจดีมาก ชอบใส่แจ๊คเก็ตแนววินเทจสีม่วงตลอดเวลา Liam จากออสเตรเลีย เป็นเพื่อนกับจอห์น Marcus จากเยอรมันณี ชอบดำน้ำ เคยมาดำน้ำที่เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานีระยะนึงจนพูดไทยได้นิดหน่อย และคำที่นางพูดได้คือคำว่า "หมา" 5555555 คนเสื้อขาวคือเลียม ส่วนพ่อหนุ่มเสื้อม่วงก็เป็นใครไม่ได้นอกจากจอห์น พระอาทิตย์ตกดินพอดี บรรยากาศดีมาก พอแนะนำตัวเสร็จก็คุยกัน สรุปว่าคุยกันถูกคอโดยเฉพาะจอห์นที่ดูชื่นชอบเรามากๆ จอห์นกับเลียมชวนเรากับเมลานี่ไป Pub Crawl ซึ่งเป็นทัวร์ที่ไกด์ท้องถิ่นจะพานักท่องเที่ยวไปสังสรรค์กับดื่มที่บาร์ต่างๆในเมือง เป็นทัวร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุโรปและเหล่าบรรดา Backpacker เราก็เลยตัดสินใจไปกัน พอไปถึงจุดนัดพบก็ได้คุยกับคนใหม่ๆบ้าง มีผู้ชายจากสวีเดนมาชวนเราคุย พอรู้ว่ามาจากประเทศไทยก็พูด “สวัสดีครับ” ใส่เราแล้วบอกว่าเคยไปประเทศไทยมาแล้ว รอได้สักพักเขาก็พาไปที่บาร์แรก พวกเรานั่งกันห้าคนแต่เราและเมลานี่จะคุยกับจอห์นเสียส่วนใหญ่ เพราะเลียมบังเอิญเจอเพื่อนเก่า ตรงนี้คือจุดนัดพบ กำลังรอให้ครบทุกคนก่อนถึงจะเริ่มทัวร์ แค่ผับแรกก็เมามาก เดินกอดคอกันทั้งคืน 55555 จอห์นรู้สึกชอบเรามากๆจนบอกว่า “ฉันมีพี่สาวน้องสาวสี่คน แต่เธอคือน้องสาวคนโปรดของฉันเลยนะ” ได้ยินอย่างนั้นคือปลื้มปลิ่มมาก พวกเรายังคงคุยเฮฮากันต่อเรื่อยๆจนไกด์พาไปอีกร้าน แต่เรา จอห์น และเมลานี่ดันพลัดหลงกับคนอื่น เลยยืนงงๆตรงหน้าบาร์ว่าเอาไงต่อดี 555 สุดท้ายก็จบที่กินเคบับ ก่อนที่จะไปผับใต้ดินที่อยู่ใต้ตัวปราสาทบราติสลาวาเลย ก็เข้าไปเต้นๆดื่มเบียร์สักพักก็ออกมา เพราะคนเยอะ เสียงดัง และพื้นเหนียวมาก เหนียวจนไม่น่าให้อภัย ออกมานั่งพักชมความสงบของบราติสลาวาก่อนกลับที่พัก หลังจากที่ออกมาก็ตัดสินใจกลับที่พัก ซื้อเบียร์มากินตรงชั้นดาดฟ้าก่อนจะแยกย้ายกลับ และนี่คือคืนแรกที่บราติสลาวา และเป็นคืนที่ชอบที่สุดของทริปแล้วจริงๆ พอตื่นมาก็ไปส่งจอห์น ตามด้วยเมลานี่ซึ่งเธอก็จะเดินทางกลับออสเตรีย ส่วนเราก็นั่งเหงาๆงงๆสักพัก และก็ตัดสินใจเดินเที่ยวย่านเมืองเก่า ตามด้วยปราสาทที่เห็นวิวแม่น้ำดานูบ สวยงามมาก Blue Church หนึ่งในจุดท่องเที่ยวยอดนิยมของเมือง ปราสาทบราติสลาวา แลนด์มาร์กสุดฮิตที่เรียกได้ว่าห้ามพลาด พอขึ้นไปตรงปราสาทก็จะเห็นแม่น้ำดานูบ ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในสหภาพยุโรป รูปปั้นทองแดงของชายที่มีชื่อว่า Čumil ซึ่งเขาได้ขึ้นมาเกยทางเดินเพื่อที่จะพักผ่อนหลังจากการทำความสะอาดท่อระบายน้ำ และแอบมองกระโปรงผู้หญิง 5555 ทริปนี้เป็นทริปที่เรามีความสุขมาก เพราะตอนไปเที่ยวเบอร์โน่คือรู้สึกเหงาเล็กน้อย พอได้บังเอิญเจอเมลานี่ที่เรียนด้วยกันก็รู้สึกเหงาน้อยลงรู้สึกอบอุ่นมากขึ้น และสิ่งที่ทำให้ทริปนี้คือหนึ่งในความทรงจำที่เยี่ยมที่สุดของเทอมแลกเปลี่ยนก็คือจอห์น ไม่น่าเชื่อว่าคนแปลกหน้าสองคนจะสนิทและรักกันเหมือนพี่น้องได้อย่างรวดเร็วภายในหนึ่งคืน ทำให้เราคิดว่านี่คงจะเป็นข้อดีของการกล้าที่จะออกมาจาก comfort zone มาเที่ยวคนเดียว เพราะเราจะเปิดใจเจอเพื่อนใหม่มากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากจะให้ทุกท่านที่แบกเป้เที่ยวคนเดียว (ทั้งในและต่างประเทศ) ระมัดระวังและดูแลตัวเองด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ไว้รอบหน้าจะมาเล่าเรื่องใหม่