ถ้าให้นึกภาพสถานที่ที่มีลานหญ้ากว้างๆ สีทองอร่าม ตัดกับท้องฟ้าสีคราม ก็คงเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก "ม่อนจอง" สถานที่ที่ใครไป ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ต้องมาซ้ำ" นอกจากทุ่งหญ้าสีทองที่เป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่แล้ว ในตอนกลางคืนยังมีหมู่ดาวนับล้านดวงออกมาเต้นระบำให้ตื่นตาตื่นใจเป็นไฮไลท์อีกด้วย ม่อนจอง ตั้งอยู่อำเภอ อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 220 กม.ใช้ระยะเวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง กว่าๆ ซึ่งพอไปถึง เราจะต้องจอดรถไว้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว หมู่บ้านมูเซอ จากนั้นจะต้องเดินทางต่ออีก 1 ชม.กว่า โดยการเหมารถ 4WD เข้าไปยังจุดเริ่มเดิน ซึ่งอยู่ในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// ระยะทางค่อนข้างโหด เป็นดินลูกรังขรุขระตลอดทาง ควรหาผ้าปิดจมูกไปด้วย แล้วถ้าใครที่เมารถ หรือชอบเวียนหัว อย่าลืมกินยาแก้เมารถด้วยนะคะ //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// สกิลที่ต้องใช้ระหว่างนั่งรถ ก็คือ "สกิลการเกาะ" เพราะรถมันโยกเยกไปมา มีบางช่วงที่หวาดเสียว ยอมใจคนขับเลย ขับเก่งมากๆ นี่เลยเป็นเหตุผลที่เราไม่สามารถเอารถเข้ามาเองได้ค่ะ //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// เมื่อมาถึงจุดเริ่มเดิน เราทุกคนต่างก็เร่งฝีเท้ากันเต็มที่ อยากจะไปถึงลานข้างบนเร็วๆ ระยะทางที่ต้องเดินเท้าต่อประมาณ 4 กิโลเมตร ทางไม่ชันมากนัก มีชันเป็นช่วงๆ ใช้เวลาเดินประมาณ 2-4 ชั่วโมงเท่านั้น ขึ้นอยู่กับแรงและกำลังขาของเรา //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// มาเริ่มเดินกันเลยค่ะ ทางในจุดแรกจะเป็นป่าสน วิวทิวทัศน์สวย เดินสบายๆ เดินไป คุยเล่นกันไป ชมนก ชมไม้ ดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบๆตัว //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// จะบอกว่า พวกเราแบกเป้กันเอง เป็น ต.เต่าหลังตุง ส่วนของส่วนกลาง พวกอุปกรณ์ครัว เต้นท์ต่างๆ เราใช้บริการพี่ลูกหาบ คนละ 600 บาท แบกได้คนละ 20กิโล พี่เขาจะไปกินนอนกับเราเลย แล้วค่อยลงพร้อมกันในตอนเช้าของอีกวัน //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// เดินกันต่อไป เหนื่อยก็พัก ถ้าเขาไม่รักก็พอ อ้าว ไม่ใช่55555 เราก็เดินตามทางกันต่อ บางทีสวนกับคนที่เพิ่งลงมา เขาก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ข้างบนสวยมากๆ รีบขึ้นไปนะ" ว้าววว ใจเริ่มเต้นแรงขึ้นแล้วสิ อยากจะถึงไวๆแล้ว หลังจากเดินมาสักพัก เราก็มาถึงไฮไลท์จุดที่หนึ่ง ซึ่งก็คือ "ผาหินก้อนใหญ่" เราก็หยุดแวะถ่ายรูปกันตรงนี้แหละ การที่จะขึ้นไปยืนข้างบนหินได้นั้น เราต้องใช้สกิลความเป็นลิงในตัวเราค่ะ ปีน ปีน ปีนและปีน แต่จะต้องปีนอย่างระมัดระวัง เพราะถ้าพลาดมามีเลือดอาบแน่นอน //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// พอได้ขึ้นไปข้างบน วิวที่เห็นมันคุ้มมากๆกับความพยายามที่จะขึ้นไป เพราะเราสามารถมองเห็นวิวได้ไกลสุดลูกหูลูกตา แถมยังได้ภาพชิคๆคูลๆมาอวดเพื่อนๆด้วยนะ //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// พอแวะถ่ายรูปสักพักใหญ่ เราก็เดินทางกันต่อ จากตรงหินก้อนนี้ ก็ใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เอ้า! อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// ในที่สุดก็มาถึง "เนินฮิบหอบ" ไม่ใช่ฮิปฮอปนะ แต่เป็น ฮิบหอบ ที่ทำคนฮิปๆแบบเราเนี่ย หอบแฮ่กๆเลย พอเราเดินขึ้นเนินนี้ไป ก็จะเจอลานหญ้ากว้างๆแล้ว อีกไม่กี่อึดใจเท่านั้น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และไปต่อกันเลย //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// จากรูป จะเห็นว่าพี่ลูกหาบเดินแซงเราไปแล้ว พี่เขาคงขึ้นลงทุกวันจนชิน จะบอกว่าลูกหาบนี่เป็นอาชีพที่น่าทึ่งมาก บางคนเป็นผู้หญิงตัวเล็กกว่าเราอีก แต่แบกของหลายสิบโล และที่สำคัญ เดินเร็วกว่าเราด้วยนะ ทั้งขยัน ทั้งแข็งแรงจริงๆ //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// อยากจะบอกว่า "มันคุ้มเหลือเกิน" เราใช้เวลานั่งรถมาจากกรุงเทพฯ มาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอมก๋อย ก็ใช้เวลาหลายชั่วแล้ว ยังจะต้องนั่งรถโฟร์วีลผ่านทางขรุขระ โยกเยกไปมาอีก ชม.กว่าๆ แล้วยังต้องเดินเท้าอีก 4 กิโลฯเพื่อขึ้นมาข้างบน แต่พอมาเห็นวิวข้างบน ทุ่งหญ้าสีทองที่เราใฝ่ฝันอยากจะมาเห็นด้วยตาสักครั้งหนึ่ง ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมันได้หายไปหมดเลย //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// เราเดินมาถึงจุดกางเต็นท์ในช่วงบ่ายสาม ก็จัดการวางข้าวของ กางเต็นท์ ปูเสื่อ ล้างหน้าล้างตา แล้วนั่งพักกัน บางคนก็งีบเอาแรงสักหน่อย เราตกลงกันว่า ตอนเย็นๆ เราจะเดินไปจุดไฮไลท์อีกจุดกัน นั่นก็คือ "เนินหัวสิงห์" นั่นเอง เขาบอกว่า จุดชมวิวหัวสิงห์ เป็นบริเวณที่พระอาทิตย์ตกสวยมาก ควรค่าแก่การไปชมพระอาทิตย์ตกที่นั่นสักครั้ง //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// ด้วยความที่มองตรงไหนก็สวยไปหมด เราเลยเดินแล้วก็หยุดถ่ายรูปกันนาน จนใกล้มืด เลยตัดสินใจที่จะกลับไปชมพระอาทิตย์ตกตรงลานใกล้จุดกางเต็นท์แทนดีกว่า บริเวณนั้นก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวหลายคน เริ่มเอาขาตั้งกล้องมาตั้ง รอถ่ายพระอาทิตย์ตกกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// แสงสุดท้ายของวันกำลังจะลับไป เราเลยขอครีเอทการถ่ายภาพล้ำๆกันสักนิด โดนการถ่ายรูปย้อนแสง ทำท่าทางต่างๆ พี่ในกลุ่มได้หาท่อนไม้ เศษหญ้ามาประดิษฐ์เป็นพร็อพถ่ายรูปเก๋ๆ //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เราก็เดินกลับเข้าที่พัก กินข้าว เม้าท์มอยกันสักพักหนึ่ง แล้วต่างคนต่างก็ต้องแยกย้ายกันไปนอนเอาแรง เพราะว่าเรามีนัดกันตอนตี 4! ถือว่าเช้ามากๆ แต่การตื่นเช้าสักวัน เพื่อได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น มันก็คุ้มนะ :) //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// "ในที่ที่มืดสนิท เราจะเห็นดาวชัดเจน" หมู่ดาวนับล้านดวง ออกมาเต้นระบำต้อนรับพวกเรา มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งตื่นเต้น ดีใจ และตื้นตัน ทำไมธรรมชาติถึงสวยขนาดนี้ ป่าไม้ที่เขียวชอุ่ม ลานหญ้ากว้างๆสีทองอร่าม ท้องฟ้าสีครามสดใส ลมเย็นๆที่พัดให้เรารู้สึกสบาย และหมู่ดาวที่ทอแสงระยิบระยับ เราว่าเราตกหลุมรักการเดินทาง ท่องเที่ยวธรรมชาติอย่างจริงจังแล้วล่ะ //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// พอแสงอาทิตย์เริ่มขึ้น ดาวก็เริ่มหายไป แต่ยังคงสวยงามอยู่เหมือนเดิม เราก็มาถ่ายรูปหมู่เล่นกันอีกครั้ง แล้วก็นั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางความหนาวเย็น //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// พอแดดเริ่มออก ก็เข้าสู่เช้าวันใหม่อย่างเต็มตัว เราเดินกลับไปเก็บของที่ที่พัก กินข้าวเช้า แล้วเตรียมออกเดินทางลงดอย ตอนขาลง มีลูกหาบและคนที่ลงไปก่อนในตอนเช้า เจอช้างป่าออกมาหากินด้วย แต่ตอนเราลงไป เหมือนพวกเขาเดินไปจุดอื่นกันแล้ว //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// พอลงมาถึงจุดเริ่มเดิน เราก็ขึ้นรถโฟร์วีลเพื่อกลับไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อาบน้ำ แต่งตัว เตรียมตัวนั่งรถกลับยาวๆ แต่ระหว่างทาง เราก็มาแวะ สวนสนบ่อแก้ว ซึ่งเป็นสวนสนขนาดใหญ่ มีต้นสนร้อยๆต้น ที่มีอายุมากกว่าพวกเราบางคนด้วยซ้ำ //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// หลังจากแวะถ่ายรูปกันสักพัก เราก็ขึ้นรถกลับกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพ //รูปภาพจากผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทาง// "ม่อนจอง" เป็นอีกที่หนึ่ง ที่เราอยากกลับไปซ้ำ ยิ่งย้อนกลับไปดูรูป ยิ่งคิดถึง การท่องเที่ยว เปิดประสบการณ์เรามากมายหลายด้าน ทั้งการทำความรู้จักคนใหม่ๆ การเรียนรู้ธรรมชาติ วัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ เราอยากให้ทุกคนได้ลองออกเดินทาง ไม่ต้องไปไหนไกล เมืองไทยของเรามีที่สวยๆ ที่ติดอันดับโลกมากมาย มาเที่ยวไทยกันนะ :)