จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมจังหวัดบุรีรัมย์ คงหนีไม่พ้น ปราสาทเขาพนมรุ้ง สนามฟุตบอล สนามแข่งรถ หรือลูกชิ้นยืนกิน แต่วันนี้ผู้เขียนจะพาเพื่อนๆไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวประเภทศาสนสถาน คือวัดระหาน เกาะแก้วธุดงคสถาน ตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งอยู่ระหว่างสนามบินบุรีรัมย์ (อำเภอสตึก) กับ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ ถนนหมายเลข 219 ซึ่งผู้เขียนจะรีวิวอย่างตรงไปตรงมา วัดแห่งนี้จะมีความน่าสนใจอย่างไรไปรับชมกันได้เลยครับ เกี่ยวกับวัดระหาน วัดระหานก่อสร้างขึ้นครั้งแรกอย่างไม่เป็นทางการเมื่อปี 2536 โดยพระครูเขมคุณโสภณ (หลวงปู่จันทร์แรม) และต่อมาได้ดำเนินการขออนุญาตตั้งวัดในพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2543 ด้วยความเห็นชอบของ มหาเถรสมาคม ใช้ชื่อว่า “วัดระหาน” มีคูคลองล้อมรอบเหมือนเกาะ วัดระหานมีอะไร วันที่ผู้เขียนไปเที่ยวอากาศร้อนมาก ลำบากใจมากว่าจะแวะเข้าไปดีหรือไม่ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผู้เขียนจึงตัดสินใจเข้าไป สองข้างทางของถนนที่มุ่งตรงเข้าไปสู่ตัววัดบรรยากาศแตกต่างจากถนนหลัก พบกับวิถีชาวบ้านและท้องทุ่งนาที่เต็มไปด้วยต้นไม้และคูคลอง ดื่มด่ำได้เพียงชั่วครู่รู้สึกตัวอีกทีก็ได้เข้าสู่ตัววัดเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกแรกที่ผ่านไปเข้าไปคือลดกระจกรถลงทันทีเพราะเป็นศาสนสถานที่ปกคลุมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ เย็นสบายและเงียบสงบมากได้ยินเฉพาะเสียงนกยูง วันที่ผู้เขียนไปเที่ยวมีนักท่องเที่ยวแค่ 3 คน ผู้เขียนชอบนกยูงมากให้อารมณ์เหมือนสวนสัตว์เปิด นกยูงไม่วิ่งหนียื่นให้ถ่ายรูปอย่างสงบนิ่ง และนี่คือสิ่งที่ผู้เขียนกลัวเพราะหากคุ้นเคยกับคนมากเกินไปอาจจะเป็นอันตรายกับสัตว์ได้เพราะมนุษย์ทุกคนไม่ได้หวังดี มาถึงจุดสำคัญของวัดระหาน คือ พระมหาธาตุรัตนเจดีย์ศรีบุรีรัมย์ เป็นพุทธเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสมเด็จพระสังฆนายกฝ่ายสยามวงศ์ และพระอัครมหาบัณฑิต วิมละรัตนะ เจ้าอาวาสวัดศรีเวฬุวนาราม ประเทศศรีลังกา ได้ประทานพระบรมสารีริกธาตุและหน่อพระศรีมหาโพธิ์ แก่พระครูเขมคุณโสภณ (หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ) เมื่อปี ๒๕๔๘ ส่วนต้นพระศรีมหาโพธิ์ได้ปลูกไว้ด้านหลังพระมหาธาตุรัตนเจดีย์ พระมหาธาตุรัตนเจดีย์เปิดให้ชมทั้งหมด 4 ชั้น ภายนอกของพระมหาธาตุแสดงถึงความเป็นประติมากรรมร่วมสมัยที่เปิดโอกาสให้ผู้เยี่ยมชมตีความไปได้หลากหลายนับแต่ยักษ์สีแดงและสีเขียวที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของเจดีย์ ซึ่งน่าจะเป็นยักษ์จากวรรณคดีมากกว่าที่จะมาจากพระไตรปิฎกเพราะพิจารณาจากเครื่องแต่งกายและหน้าตายักษ์ตัวสีเขียวอาจจะเป็นทศกัณฐ์ แต่ตัวสีแดงผู้เขียนไม่รู้ว่าเป็นยักษ์ตนใดเพราะสวมมงกุฎที่เป็นรูปพญานาคไว้ นอกจากยักษ์สองตัวนี้แล้วยังมียักษ์ที่ทำท่าเหมือนกำลังอมพระจันทร์ที่มีพระพุทธองค์อยู่ตรงกลาง อาจจะแสดงถึงความดีงามของพระพุทธองค์ที่แสดงให้หมู่ยักษ์ได้เห็นหรืออย่างไร นอกจากนี้ยังมีประติมากรรมอีกมากมายให้พวกเราได้ตีความและมันน่าสนใจมากครับ ชั้นที่ 2 ของพระมหาธาตุเจดีย์ ที่ซึ่งบรรจุร่างของ พระครูเขมคุณโสภณ หรือหลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ มีรูปภาพนิทานชาดกตามฝาผนัง ชั้นที่ 3 และ 4 ของพระมหาธาตุเจดีย์ บรรจุพระบรมธาตุพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยะสงฆ์สาวก ชั้นที่ 4 เดินขึ้นระวังนะครับบันไดชันและแคบมากน่าจะประมาณ 60 องศา ผู้สูงอายุและเด็กต้องระมัดระวังมาก วัดระหานเป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นโดยพระสายธรรมยุติ (สายวัดป่า) ฉะนั้นแล้ววัดระหานไม่ใช่วัดที่มีการประกอบพิธีทางสงฆ์หรือมีกิจกรรมทางพุทธให้นักท่องเที่ยวได้เลือกทำมากนัก หากต้องการถวายสังฆทานหรือร่วมทำบุญให้กับวัดก็สามารถทำได้แต่ไม่ได้มีแม่ค้าพ่อขายเข้ามาทำเป็นธุรกิจ เช่น การขายดอกไม้หรือขายเครื่องรางของขลัง จุดเด่นของวัดระหาน คือ สงบ เย็นสบาย เหมาะกับการปฏิบัติธรรม และที่ผู้เขียนชอบมากคือประติมากรรม พระมหาธาตุรัตนเจดีย์ สร้างขึ้นมาได้แตกต่างจากที่อื่นเพราะประยุกต์ศาสนาพุทธเข้ากับวรรณคดีและความเชื่อในพื้นที่ได้อย่างสวยงาม ส่วนข้อเสียนั้นก็มีเช่นกันคือส่วนตัวผู้เขียนนั้นไม่ได้มีความรู้เรื่องศาสนามากนัก การเดินเยี่ยมชมศาสนสถานโดยที่ไม่มีป้ายอธิบายรายละเอียดทำให้ผู้เขียนสับสนและไม่เข้าใจในบางอย่าง สุดท้ายนี่ผู้เขียนขอฝากวัดระหานเกาะแก้วธุดงคสถานไว้ให้เป็นตัวเลือกกับเพื่อนๆที่จะไปเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ด้วยนะครับ รูปภาพ (ถ่ายโดยผู้เขียน)