หากพูดถึงวิถีชีวิตของคนรุ่นก่อน คนรุ่นใหม่อย่างเรา ๆ อาจนึกภาพหรือจินตนาการไม่ออกว่าก่อนมีอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามา ผู้คนในสมัยนั้นใช้ชีวิตกันอย่างไร วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปเที่ยวชมพร้อมเรียนรู้วิถีชีวิตดั้งเดิมของคนรุ่นเก่าผ่านสิ่งของเครื่องใช้กันที่ “พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก” ถ้าพร้อมแล้วตามเราเข้าไปเที่ยวชมกันดีกว่าค่ะ ^^ “พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก” นั้นแต่เดิมเป็นบ้านของ “อาจารย์วราพร สุรวดี” ที่ได้รับมรดกตกทอดจาก “นางสอาง สุรวดี (ตันบุญเล็ก)” มารดาของท่าน ต่อมาในปี พ.ศ. 2547 ท่านได้ยกบ้านหลังนี้ให้เป็น “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก” เพื่อใช้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบางกอกฐานะปานกลางในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2480 - 2500 โดยภายในพิพิธภัณฑ์แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็น 4 อาคารด้วยกัน ได้แก่ “หลังที่ 1” เป็นอาคารที่ครอบครัวสุรวดีเคยอาศัยเมื่อในอดีต, “หลังที่ 2” เป็นทั้งคลินิกและเรือนพักของคุณหมอฟรานซิส คริสเตียน ชาวอินเดีย, “หลังที่ 3” จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้และเอกสารต่าง ๆ ที่น่าสนใจในสมัยก่อน รวมทั้งนิทรรศการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเขตบางรักและชุมชนใกล้เคียง และ “หลังที่ 4” เป็นสำนักงานห้องสมุดของอาจารย์วราพรค่ะ “อาคารหลังที่ 1” เป็นบ้านพักอาศัยของครอบครัวสุรวดีเคยอาศัยอยู่เมื่อในอดีต ซึ่งคุณแม่ของอาจารย์วราพรสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2480 มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกและเป็นที่นิยมกันในสมัยนั้น คือ เป็นอาคารไม้ 2 ชั้น หลังคาทรงปั้นหยา มุงด้วยกระเบื้องว่าวสีแดง ส่วนผนังอาคารสร้างด้วยไม้ ทาสีเลียนแบบผนังก่ออิฐถือปูน ต่อมาในปี พ.ศ.2505 ก็ได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมอีกในภายหลัง เมื่อเข้าไปข้างในจะมีลักษณะเป็นบ้านของชนชั้นกลางทั่วไปในสมัยนั้นค่ะ หลังจากถอดรองเท้าและขึ้นบันไดขั้นเล็ก ๆ มาก็จะเห็น “ระเบียงหน้าบ้าน” สำหรับนั่งเล่นกินลมชมสวนบริเวณรอบ ๆ บ้านทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็น และเมื่อเข้ามาใน “โถงกลางบ้านชั้นล่าง” ซึ่งเป็นทางที่จะเข้าไปในห้องต่าง ๆ จะมีสิ่งของเครื่องใช้เก่าแก่ตั้งประดับตกแต่งอยู่ประปราย เพื่อไม่ให้บ้านโล่งจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะกระจก, เครื่องเล่นแผ่นเสียงในสมัยก่อนกับตู้เก็บแผ่นเสียง, ตู้ไม้ประดับมุกตั้งขนาบหน้าห้องหนังสือ และนาฬิกาคุณปู่แบบตั้งพื้นค่ะ เดินเข้ามาทางฝั่งซ้ายมือ คือ “ห้องรับแขก” เป็นห้องที่นอกจากจะใช้รับรองแขกผู้มาเยือนในโอกาสต่าง ๆ แล้วยังใช้เป็นห้องเล่นเปียโนของคุณแม่ท่านอาจารย์วราพรอีกด้วย ซึ่งภายในห้องรับแขกจะมี “เปียโนคู่ใจ” เปียโนมือสองที่คุณตาของอาจารย์ซื้อมาให้คุณแม่ของอาจารย์เล่น กับตู้เก็บเครื่องแก้วเจียระไนต่าง ๆ ค่ะ ห้องถัดมาเป็น “ห้องอาหาร” เป็นห้องที่เกิดขึ้นจากการต่อเติมบ้านชั้นบนเพิ่มเติม เพื่อทำห้องนอนให้กับ “อาจารย์วนิดา สุรวดี” พี่สาวคนที่ 3 ของอาจารย์วราพร ซึ่งห้องนี้นอกจากใช้เป็นห้องอาหารแล้วส่วนหนึ่งยังใช้สำหรับตั้งโทรทัศน์และตู้เย็นในสมัยก่อนอีกด้วย โดยภายในห้องอาหารก็จะมีโต๊ะอาหารขนาด 6 - 8 ที่นั่งที่มีพวงเครื่องปรุง, จานใส่, ของว่าง และชุด Dinner Set แบบตะวันตกจัดวางไว้บนโต๊ะ รวมทั้งมีภาชนะลายครามแบบจีนและเครื่องเคลือบสีเขียวไข่การูปแบบต่าง ๆ ส่วนด้านหลังโต๊ะอาหารเป็นตู้เก็บจานชาม หากสังเกตดี ๆ จะเห็นรอยร้าวของกระจกที่ซ่อมแซมด้วยการนำเหรียญมีรูตรงกลางสองเหรียญมาประกบกันระหว่างกระจกที่ร้าวแล้วใช้ลวดร้อยยึดตามแนวกระจกให้ติดไว้ด้วยกันค่ะ ถัดมาอีกฝั่งหนึ่งเป็น “ห้องหนังสือ” ซึ่งตอนแรกเคยเป็นห้องนอนของคุณยายเล็ก น้องสาวคนเล็กของคุณยายท่านอาจารย์ที่มาอาศัยอยู่ด้วยกัน แต่เมื่อคุณยายเล็กเสียชีวิตลงในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ญาติผู้น้องของคุณแม่ท่านอาจารย์กับน้องสาวคนสุดท้องของอาจารย์ได้ย้ายเข้ามาในห้องนี้แทน ปัจจุบันใช้เป็นห้องเก็บหนังสือของคุณหมอฟรานซีส คริสเตียน โดยภายในห้องหนังสือจะมีทั้งตู้เก็บหนังสือของคุณหมอฟรานซีส คริสเตียน, ตู้เก็บหนังสือวรรณกรรมยอดนิยมในสมัยนั้น และสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ เกี่ยวกับการเรียนค่ะ ห้องถัดมาเป็น “ห้องสุขา” ตั้งอยู่ใต้บันได ซึ่งในห้องสุขาสมัยที่ยังไม่มีน้ำประปากับส้วมชักโครกก็จะใช้โถสังกะสีเคลือบชนิดเททิ้งตั้งบนขาตั้งเหล็กและมีแป้นรองนั่งไม้แบบฝาเปิด-ปิดได้ เมื่อถ่ายเสร็จแล้วจะมีคนขับรถม้ามาเก็บตามบ้านเพื่อนำไปเททิ้งและล้างจนสะอาดแล้วนำกลับมาตั้งใหม่ค่ะ หลังจากชมชั้นล่างจนครบทุกห้องแล้วขึ้นบันไดไปเดินชมชั้น 2 กันต่อ เมื่อขึ้นมาถึงชานพักบันไดจะเห็นประตูรั้วเล็ก ๆ กั้นสำหรับเปิด-ปิดและป้องกันการพลัดตกบันได และพอเดินขึ้นบันไดมาถึง “โถงกลางชั้นบน” ก็จะเห็นสิ่งของหลายอย่างจัดวางอยู่ ไม่ว่าจะเป็นแท่นที่วางพัดกับแผนที่จราจรในงานรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2496, จักรเย็บผ้าแบบใช้มือที่เหลือเพียงแป้น กงล้อ และเก้าอี้, เครื่องอัดกลีบผ้าสไบ, เตียงเด็กในสมัยก่อนที่มีแผงกันตก, เครื่องอัดผ้านุ่ง และตู้เก็บเครื่องจานชามค่ะ ห้องนี้เดิมทีเป็น “ห้องนอนคุณยาย (คุณอิน ตันบุนเต็ก)” ของอาจารย์วราพร ต่อมาคุณยายป่วยหนักจึงย้ายลงมาพักรักษาตัวในห้องรับแขกชั้นล่าง เมื่อคุณยายเสียชีวิตลง อาจารย์วราพรจึงย้ายมาอยู่ในห้องนี้แทน ซึ่งภายในห้องนี้มีทั้งเตียงไม้โบราณแบบฝรั่งมีเสามุ้ง, โต๊ะเครื่องแป้งพร้อมตลับเครื่องแก้วสำหรับใส่เครื่องสำอางกับขวดน้ำหอมแบบต่าง ๆ, ตู้เซฟแบบมีบานประตูล็อกสำหรับใส่เงิน, พระพุทธรูปบูชาสมัยอยุธยาตอนปลายกับสมัยรัตนโกสินทร์ และพระเครื่องกับเครื่องรางของขลังต่าง ๆ ด้วยค่ะ ถัดมาอีกห้องหนึ่งเป็น “ห้องบรรพบุรุษ” แต่เดิมเคยเป็นห้องนอนของพี่สาวคนโตกับพี่สาวคนที่สองของอาจารย์วราพร ต่อมาเมื่อคุณแม่ของอาจารย์เสียชีวิตลง จึงได้ปรับปรุงห้องนี้ให้เป็นห้องสำหรับที่ตั้งอัฐิของบรรพบุรุษ หลังจากอาจารย์วราพรเสียชีวิตก็ได้นำอัฐิของท่านมาตั้งไว้ที่ห้องนี้ด้วย เพื่อกราบไหว้บูชาและใช้ประกอบพิธีเซ่นไหว้ในเทศกาลสำคัญ นอกจากนั้นภายในห้องนี้ยังมีสิ่งของเครื่องใช้อย่างเครื่องเบญจรงค์เก่าแก่ที่เคยเป็นของรักของหวงของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับอีกด้วยค่ะ ถัดมาเป็น “ห้องนอนใหญ่” เป็นห้องที่คุณแม่ท่านอาจารย์ต่อเติมขึ้นมาใหม่ เพื่อทำเป็นห้องนอนให้กับพี่สาวคนที่ 3 ของอาจารย์วราพรที่กำลังเดินทางกลับประเทศไทยหลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งภายในห้องจะมีทั้งเตียงนอนพร้อมโต๊ะข้างเตียงที่นิยมกันในสมัยนั้น, ตู้เสื้อผ้าบานประตูโค้งแบบยุโรปร่วมสมัย และโต๊ะเครื่องแป้งแบบมีกระจกรูปไข่ค่ะ ถัดมาห้องข้าง ๆ คือ “ห้องนอนคุณแม่” เป็นห้องนอนที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาห้องนอนทั้งหมดของบ้านหลังนี้ แต่ปัจจุบันใช้เป็นเพียง “ห้องแต่งตัวแบบยุโรป” ของคุณพ่อ (คุณบุญภูมิ สุรวดี) กับคุณแม่เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่นิยมขนเครื่องนอนมานอนที่โถงหน้าห้องเป็นประจำ เนื่องจากมีอากาศเย็นกว่า โดยภายในห้องมีทั้งตู้บานกระจกแบบเปิด-ปิด, โต๊ะเครื่องแป้งแบบมีบานกระจกพับได้, โต๊ะวางสุขภัณฑ์ และราวไม้สำหรับตากหรือแขวนเสื้อผ้าค่ะ ส่วนห้องน้ำชั้นบนนี้เป็นห้องที่ทะลุถึงกันระหว่าง “ห้องแต่งตัวแบบยุโรป” กับห้องนอนของ “อาจารย์วนิดา สุรวดี” พี่สาวของอาจารย์วราพร ซึ่งห้องน้ำนี้เป็นแบบชักโครกสมัยที่มีน้ำประปาแล้วเต่ฝาชักโครกยังเป็นแบบไม้ โดยห้องน้ำของอาคารหลังนี้เป็นห้องน้ำเก่าที่อนุรักษ์ไว้สำหรับเข้าชมเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ใช้โดยเด็ดขาด เด็ดขาด หากต้องการใช้ห้องน้ำ ให้ไปใช้ห้องน้ำที่หลังเรือนค่ะ หลังจากชมอาคารหลังที่ 1 แล้วเดินไปชมอาคารหลังที่ 2 ระหว่างทางก็จะเห็นศาลาริมน้ำ, บ่อน้ำ และสวนหลังบ้าน บอกเลยว่าบรรยากาศร่มรื่นสุด ๆ ค่ะ ^^ “อาคารหลังที่ 2” เป็นทั้งคลินิกและเรือนพักของ “คุณหมอฟรานซีส คริสเตียน” ศัลยแพทย์ชาวอินเดียจบจากประเทศอังกฤษที่เป็นสามีคนแรกของคุณแม่ท่านอาจารย์ ซึ่งบ้านหลังนี้แต่เดิมสร้างในปี พ.ศ. 2472 ที่ทุ่งมหาเมฆ ซอยงามดูพลี เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมใกล้เคียงกับอาคารหลังแรก โดยชั้นล่างจะเป็นคลินิกรักษาคนไข้ ส่วนชั้นบนเป็นห้องนอน แต่ทว่าสร้างยังไม่ทันแล้วเสร็จ คุณหมอฟรานซีสก็ล้มป่วยลงและเสียชีวิตไปก่อน จึงปล่อยเป็นบ้านเช่า จนกระทั่งคุณแม่ได้ยกที่ดินให้อาจารย์วราพร อาจารย์ท่านเลยปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ แต่พอจะทำบ้านบริเวณตรอกสะพานยาวให้เป็นพิพิธภัณฑ์ขาดเงินที่นำมาปรับปรุง จึงขายที่ดินและรื้อถอนบ้านไว้มาสร้างใหม่ที่นี่แทนโดยย่อส่วนให้พอดีกับพื้นที่พิพิธภัณฑ์ที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อใช้เป็นอาคารแสดงประวัติและอนุสรณ์สถานรำลึกถึงคุณหมอด้วยค่ะ บริเวณชั้น 1 เป็นคลินิกที่คุณหมอฟรานซีส คริสเตียนรักษาคนไข้ ซึ่งมีโต๊ะ-ที่นั่งสำหรับให้ผู้ป่วยนั่งรอคิว, ตู้สำหรับโชว์ของตกแต่ง และรูปภาพติดผนัง นอกจากนั้นใต้ถุนบันไดยังมีห้องน้ำสำหรับให้ผู้ป่วยเข้าไปใช้กับห้องเก็บของ ส่วนบริเวณชานพักบันไดระหว่างขึ้นไปชั้น 2 มีตู้กระจกสำหรับจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ของคุณหมอฟรานซีสตั้งอยู่ด้วยค่ะ พอเดินขึ้นบันไดไปชั้น 2 มี “รูปปั้นคุณหมอฟรานซีส” ตั้งตรงกลางอย่างโดดเด่น โดยรูปปั้นคุณหมอฟรานซีสเป็นรูปปั้นหล่อขึ้นมาใหม่จากหุ่นปูนปลาสเตอร์เดิมด้วยฝีมือของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี (Corrado Feroci) ชาวอิตาลี ซึ่งเป็นบิดาแห่งวงการศิลปะและเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากรค่ะ เดินไปฝั่งซ้ายจะเป็น “ห้องตรวจคนไข้” ของคุณหมอฟรานซีส ซึ่งภายในห้องนี้จะมีเครื่องมือทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่ใช้กันในสมัยนั้นค่ะ ส่วนฝั่งขวาเป็นห้องนอนของคุณหมอฟรานซีส ซึ่งภายในห้องมีเตียงไม้สี่เสา, โต๊ะที่จัดแสดงสิ่งของต่าง ๆ ของคุณหมอ, เก้าอี้อาร์มแชร์, โต๊ะทำงาน, โต๊ะเครื่องแป้ง, ตู้เสื้อผ้า, ราวไม้สำหรับตากหรือแขวนเสื้อผ้า และโต๊ะวางโคมไฟค่ะ หลังจากชมอาคารหลังที่ 2 จนทั่วแล้วเดินไปชม “อาคารหลังที่ 3” กันต่อ ซึ่งอาคารหลังที่ 3 เป็นห้องแถวต่อกัน 8 ห้องที่คุณแม่ของอาจารย์สร้างไว้ให้เช่า ต่อมาเมื่ออาจารย์นำมาทำเป็นพิพิธภัณฑ์จึงไม่ได้ต่อสัญญาเช่าและปรับปรุงใหม่ให้เป็นอาคารนิทรรศการ โดยชั้นล่างจัดแสดงเอกสารต่าง ๆ ที่น่าสนใจในสมัยนั้น รวมถึงคลังเครื่องมือเครื่องใช้ภายในบ้าน เช่น เครื่องครัว, เครื่องมือช่าง, เครื่องเขียน, งานหัตถกรรม เป็นต้น ส่วนชั้นบนแบ่งออกเป็น 2 โซนด้วยกัน คือ โซนด้านในจัดแสดงบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเขตบางรักและชุมชนใกล้เคียงในสมัยนั้น กับโซนด้านนอกจัดเป็นห้องสมุดรวบรวมหนังสือกับมีอักษรภาพจีนโบราณของอาจารย์วราพรค่ะ พอเปิดประตูทางเข้า ฝั่งตรงข้ามกับประตูจะเป็นพื้นที่จัดแสดงเอกสารสำคัญต่าง ๆ ที่น่าสนใจในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นโทรเลข, แสตมป์, ธนบัตรต่าง ๆ, แผนที่กรุงเทพฯ, สำมะโนครัว และโฉนดที่ดินเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ค่ะ เดินมาทางฝั่งซ้ายมือเป็นโซนโรงครัวที่มีลักษณะเป็นห้องครัวไทยโบราณ มีอุปกรณ์หลายอย่างที่คนสมัยนี้ไม่ค่อยเห็นหรือรู้จักค่ะ เช่น เครื่องทำไอศกรีม, เครื่องบดหมึก, ตู้แช่เย็นโบราณ, เครื่องโม่แป้ง, กระต่ายขูดมะพร้าว, กระต่ายจีนสำหรับขูดเผือก มัน, เตาฟืน, เตาถ่าน, เตาอั้งโล่ เป็นต้น ถัดมาอีกเป็นโซนเลี้ยงสัตว์ มีทั้งกรงนก, เล้าเลี้ยงไก่, บ้านสุนัข, บ้านแมว และเครื่องใช้ต่าง ๆ เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงค่ะ โซนนี้เป็นที่เก็บเครื่องมือช่างกับเครื่องมือสำหรับทำสวนค่ะ โซนนี้เป็นโซนเย็บปักถักร้อย ซึ่งคนในสมัยก่อนจะนิยมซื้อผ้ามาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าใส่เอง เพื่อความประหยัดค่ะ ส่วนโซนนี้เป็นโซนเกี่ยวกับงานหัตถกรรมและของเล่นในสมัยนั้นค่ะ หลังจากชมชั้นล่างแล้ว เดินขึ้นบันไดไปชมชั้นบนกันต่อ ซึ่งชั้นบนโซนด้านในจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับภาพรวมของกรุงเทพฯ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาของชื่อ “บางกอก”, ประวัติความเป็นมาและลักษณะทางกายภาพของเขตบางรัก, สถานที่สำคัญและบุคคลสำคัญของเขตบางรัก, บทบาทของชุมชนตะวันตกที่มีต่อการปฏิรูปประเทศ และเรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมายค่ะ ด้วยความที่ถนนเจริญกรุงเป็นถนนสายแรกของไทย ทำให้ถนนสายนี้เป็นศูนย์รวมของการพัฒนาด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการค้า, ด้านศาสนา, ด้านการศึกษา, ด้านการคมนาคม, ด้านสาธารณสุข และด้านการพิมพ์ เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีชาวต่างชาติ ทั้งชาติไทย, ชาติจีน, ฝรั่ง, และแขก จำนวนมากอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนหรือแหล่งรวมวัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยค่ะ นอกจากจะมีบอร์ดนิทรรศการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกรุงเทพฯ ในภาพรวมกับเขตบางรักและชุมชนใกล้เคียงแล้วยังมีสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ มาจัดแสดงอีกด้วยค่ะ เช่น อุปกรณ์สำหรับสร้างถนน, โคมไฟเก่า, วิทยุเก่า, กล้องถ่ายรูป, เตารีดแบบถ่าน, เครื่องพิมพ์ดีด, โทรศัพท์แบบหมุน เป็นต้น ส่วนโซนด้านนอกเป็นห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือต่าง ๆ ของอาจารย์วราพร รวมทั้งภาพอักษรจีน ซึ่งก่อนจะเป็นอักษรจีนอย่างที่ใช้กันในปัจจุบันนั้นเป็นอักษรภาพค่ะ หากใครชื่นชอบการเที่ยวชมหรือต้องการเรียนรู้วิถีชีวิตของคนรุ่นก่อน ๆ สามารถแวะเข้ามาเดินชมที่ “พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก” กันได้นะคะ เพราะนอกจากจะเดินชมอย่างเพลิดเพลินแล้วยังได้เห็นสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่หาชมได้ยากในปัจจุบันอีกด้วยค่ะ ^^ ปักหมุดได้ที่: 273 ซอยเจริญกรุง 43 (ตรงข้ามไปรษณีย์กลาง) แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500GPS: https://goo.gl/maps/QbFfCxd5e6oUiXJk7Email: bkkfolk_museum@hotmail.co.thโทร: 02-233-7027Facebook Fanpage: พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกเสียค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าเข้าชมเปิด: วันอังคาร - วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 16.00 น.การเดินทาง: - โดยรถยนต์: หากมาจากทางถนนเจริญกรุง ให้เลี้ยวเข้าซอยเจริญกรุง 43 ไปประมาณ 300 เมตร ลอดใต้ทางด่วน จะเห็นพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ทางขวามือ (จอดรถที่ไปรษณีย์กลาง) - โดยรถไฟฟ้า BTS: ลงสถานีสะพานตากสิน เดินทางต่อด้วยรถประจำทางมาลงที่ไปรษณีย์กลางบางรัก - โดยรถโดยสารสาธารณะ: สาย 1, 36, 45, 75, 93 ลงป้ายไปรษณีย์กลางบางรัก ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม เข้าซอยเจริญกรุง 43 เดินตรงมาประมาณ 300 เมตร - โดยเรือด่วนเจ้าพระยา: ลงท่าโอเรียนเต็ล เดินไปทางถนนเจริญกรุง เลี้ยวเข้าซอยเจริญกรุง 43 ออกแบบหน้าปกใน Canva โดย: Windy_55 (ผู้เขียน)เครดิตภาพประกอบบทความทั้งหมดโดย: Windy_55 (ผู้เขียน)อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !