ธรรมชาติสร้างสรรค์แต่ละพื้นที่ให้มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ พืชพรรณนานาชนิด ทำให้บางพื้นที่มีความสวยงามจนกลายเป็นจุดขาย ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลมาเยี่ยมชมเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต แต่มีบางพื้นที่ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้ดูแปลกประหลาด ฟังดูไม่น่าเข้าใกล้ แต่กลับกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมไปเสียอย่างนั้น หนึ่งในพื้นที่อันแปลกประหลาด จนกลายเป็นจุดเช็คอินยอดฮิตของนักท่องเที่ยวทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคือ Death Valley National Park แปลกันตรงตัวคือ หุบเหวมรณะ หรือ หุบเขามรณะ ก็ได้ทั้งนั้น ฟังดูชื่อชวนให้นึกถึงฉากภาพยนตร์สยองขวัญ ไม่รู้ว่าเมื่อไปถึงแล้วจะกลับออกมาได้อีกหรือไม่ หรือหุบเหวแห่งนี้จะเต็มไปด้วยหัวกระโหลกเต็มไปหมด อย่าเพิ่งจินตนาการไปไกล ความน่ากลัวนั้นเป็นเพียงชื่อ แต่สถานที่แห่งนี้เป็นความมรณะที่งดงามมากแห่งหนึ่งบนโลก รูปภาพโดย Julie Kwak จาก Unsplash Death Valley เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ของรัฐแคลิฟอร์เนียและเนวาดา คนอเมริกันรู้จักสถานที่แห่งนี้จากเรื่องเล่าที่ว่า สมัยก่อนมีนักขุดทองกลุ่มหนึ่งพลัดหลงเข้าไปในหุบเหวแห่งนี้ แล้วพบว่าไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร ประกอบกับความแห้งแล้งของหุบเหวและทะเลทราย หลายชีวิตจึงจบลงที่นี่ ส่วนคนที่รอดมาได้ กล่าวคำบอกลาว่า Goodbye, Death Valley จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกสถานที่แห่งนี้ รูปภาพโดย Peter Thomas จาก Unsplash น้อยคนที่จะรู้จักหรืออยากจะไปยังสถานที่แห่งนี้ เพราะมันเป็นทะเลทรายและหุบเขาแห้งแล้ง เต็มไปด้วยต้นหญ้าแห้งกรอบ อุณหภูมิสูงปรี๊ดถึง 50 องศาเซลเซียสได้ในบางวัน ประเทศไทยที่ว่าร้อนแล้วยังร้อนไม่เท่าหุบเหวแห่งนี้ แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ Death Valley ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากเทรนด์ท่องเที่ยวแนวใหม่ เป็นการท่องเที่ยวเชิงศึกษาลักษณะภูมิประเทศ นักท่องเที่ยวจากหลายชาติจึงเริ่มเข้ามาสัมผัสกับความมรณะด้วยตัวเอง รูปภาพโดย Kyle Glenn จาก Unsplash ความงดงามของ Death Valley คือลักษณะภูมิประเทศที่เป็นหุบเขาดูแปลกตา บางส่วนเป็นทะเลทรายแห้งแล้ง ภูมิทัศน์ที่เป็นภูเขาหินไล่สีที่ซ้อนกันอย่างมหัศจรรย์ชวนให้นึกถึงประเทศแถบตะวันออกกลาง สถานที่แห่งนี้จึงเป็นจุดถ่ายรูปเก๋ ๆ แบรนด์ครีมกันแดดในอเมริกาก็ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ถ่ายสปอตโฆษณาอีกด้วย ปัจจุบันอุทยานแห่งชาติ Death Valley มีที่พักสำหรับรับรองนักท่องเที่ยว เพราะอุทยานมีพื้นที่กว้างใหญ่ ต้องใช้เวลา 2-3 วัน จึงจะสำรวจได้ครบทุกพื้นที่ ทางอุทยานมีโปรแกรมสำรวจภูมิประเทศเตรียมเอาไว้ให้ เพราะนอกจากพื้นที่แห้งแล้งแล้ว บริเวณอุทยานยังมีส่วนอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ทั้งส่วนที่เป็นธรรมชาติ และอาคารบ้านเรือนที่สร้างขึ้นตั้งแต่อดีต เรียกได้ว่าที่เดียวครบจบทั้งเที่ยวแบบผจญภัยพร้อมกับการได้เรียนรู้วัฒนธรรม รูปภาพโดย Yuval Levy จาก Unsplash คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการไปเที่ยวชมอุทยานแห่งชาติ Death Valley คือ เตรียมกายและใจให้พร้อมปะทะกับแดดอันร้อนแรง แว่นกันแดดต้องพร้อมเพื่อถนอมดวงตา พกน้ำดื่มไปเยอะ ๆ ถ้าไม่อยากกระหายจนหมดแรง แต่เชื่อว่าการท่องเที่ยวแนวผจญภัยแบบนี้ต้องถูกใจสายลุยสู้ตายอย่างแน่นอน รูปภาพหน้าปกโดย Cloris Ying จาก Unsplash