เนื่องจากทริปในวันนี้เราไปค่อนข้างหลายที่เลยจะแบ่งเล่าเป็นช่วง ๆ พร้อมแนบรูปภาพประกอบไปเรื่อย ๆ เท่าที่จะทำได้ เพื่อที่ทุกคนจะได้เห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายขึ้นนะคะแผนการเดินทางที่เราวางไว้คือเริ่มต้นที่วัดคิโยมิซุด้วยรถบัสหน้าสถานีเกียวโต เดินต่อไปที่วัดนันเซ็นจิ ถัดจากนั้นก็ค่อย ๆ เดินเลียบไปตามทางสายปราชญ์ เพื่อไปจบลงที่วัดเงินกินคะคุจิ แล้วก็ขึ้นรถบัสตรงป้ายบริเวณหน้าวัดเพื่อกลับมาที่สถานีเกียวโตอีกครั้ง ง่าย ๆ เท่านี้เองค่ะ จะเน้นไปที่การเดินเที่ยวเป็นหลัก จากการศึกษาเส้นทางผ่าน Google Map เราพบว่าระยะทางจากวัดคิโยมิซุไปจนถึงวัดเงินกินคะคุจิจะอยู่ที่ประมาณ 6 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมง แต่สิ่งที่คิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมันไม่เคยตรงกันเลยค่ะ และก่อนที่เราจะเล่าถึงความวุ่นวายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง เราจะขอพาทุกคนไปชมกับบรรยากาศสวย ๆ ในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นที่วัดคิโยมิซุให้ชุ่มชื่นหัวใจกันก่อนสักหน่อยค่ะ หลังลงจากรถที่ป้ายหน้าวัดตอน 6 โมงกว่า ๆ เราก็ข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อเดินขึ้นเนินไปที่วัด ยิ่งเดินขึ้นเนินไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าทางเริ่มชันขึ้น ๆ และระยะทางก็ไกลพอสมควรจนเราไม่แน่ใจว่ามาถูกทางหรือเปล่า เราเลยเข้าไปถามคุณตาท่านหนึ่งที่เดินอยู่ใกล้ ๆ กันเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าวัดคิโยมิซุอยู่ตรงไหนเหรอคะ คุณตาก็ตอบว่าอยู่ข้างหน้านั่นแหละหนู เดินตรงขึ้นไปอีกหน่อย ก่อนจะแยกกันเราก็ไม่ลืมที่จะแสดงความขอบคุณในความมีน้ำใจของคุณตา ตามสไตล์หญิงไทยใจงามสยามเมืองยิ้มค่ะ พอเดินขึ้นเนินมาจนถึงหน้าวัดเราก็อึ้งไปเลยค่ะ เราคิดว่าพอเดินขึ้นมาจะได้เห็นไฮไลท์ของวัดหรือ "ฮอนโดะ" อาคารไม้ขนาดใหญ่ที่ด้านล่างระเบียงมีท่อนไม้หลาย ๆ ท่อนต่อกันขึ้นไปเป็นชั้น ๆ แต่ที่เราเจอคือประตูวัดขนาดใหญ่สีแดงสดพร้อมกับป้ายห้ามถ่ายรูปที่ตั้งไว้ เราก็คิดในใจว่าอะไรวะเนี่ย มองซ้ายมองขวาทางขึ้นฮอนโดะจ๋าอยู่ที่ไหนเอ่ย เราเลยตัดสินใจเดินวนรอบ ๆ บริเวณประตูวัดในที่สุดก็หาทางขึ้นเจอจนได้ค่ะ หลังจากจ่ายเงินค่าเข้าชมเสร็จสรรพเราก็ตั้งหน้าตั้งตาหาว่ามุมไหนของวัดที่มันเหมือนกับรูปที่เคยเห็นในอินเทอร์เน็ต หันไปหันมาก็ยังหาไม่เจอเลยตัดสินใจเดินเข้าไปเรื่อย ๆ แล้วเลี้ยวขวาไปทางอาคารไม้ที่เชื่อมติดกัน พอได้ไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วหันหน้ากลับมามองทางทิศตะวันออก ภาพฮอนโดะที่มีเมืองเกียวโตเป็นฉากหลังพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่เริ่มส่องกระทบกับตัวอาคาร ทุกอย่างมันช่างงดงามตระการตาไปหมด พอเราหามุมที่ถูกใจได้แล้วเราก็หยุดพักนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าอย่างช้า ๆ ลอบสังเกตคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ให้เวลาได้พาเราเพลิดเพลินไปกับความสวยงามของธรรมชาติที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า สำหรับเราภาพของฮอนโดะที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยเหล่าใบไม้หลากสีสันในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีให้ความรู้สึกที่เกินจะบรรยายแต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกได้อย่างชัดเจนคืออัตราการเต้นของใจที่กู่ร้องถึงความสุข ทั้งความความสวยงามและความรู้สึกประทับใจในวันนั้นยังคงติดตราตรึงใจเรามาจนถึงทุกวันนี้ สำหรับบางคนภาพที่เห็นอาจจะเป็นเพียงอาคารไม้โบราณธรรมดา ๆ หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเหล่าแมกไม้ แต่เราก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่าสถานที่แห่งนี้อบอวลไปด้วยบรรยากาศดี ๆ พลังงานดี ๆ ที่ช่วยปลอบโยนและเยียวยาจิตใจที่เหนื่อนล้าจากการทำงานมาอย่างหนัก แบบที่คงไม่สามารถหาได้จากที่อื่น ถึงแม้ต้นไม้บางต้นจะผลัดใบไปจนหมดเหลือไว้แต่กิ่งก้านแห้ง ๆ ที่แตกแขนงยื่นยาวออกมาก็ตาม โชคดีที่รีบมาคนเลยไม่พลุกพล่านทำให้ถ่ายรูปฮอนโดะกับวิวรอบ ๆ ได้อย่างเต็มที่บริเวณอาคารที่เรายืนอยู่มีรูปปั้นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งเอาไว้ เราเห็นคุณตาท่านหนึ่งมากราบไหว้สักการะแล้วก็เอามือไปลูบแต่ละส่วนของรูปปั้น แล้วก็เอามือนั้นมาลูบบนร่างกายตัวเองในบริเวณเดียวกัน เราอยากถามคุณตาว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วจะทำให้อาการเจ็บปวดตามร่างกายหายไปเหรอคะ แต่ด้วยความที่ไม่กล้าเลยไม่ได้ถามออกไป อีกสิ่งหนึ่งของวัดนี้ที่น่าสนใจสำหรับเราคือเครื่องรางค่ะ ตลอดการเดินทางในช่วงระยะเวลา 6 วันในเกียวโตเราได้ไปเที่ยวตามศาลเจ้าและวัดอื่น ๆ หลายแห่งพอสมควรและเครื่องรางส่วนใหญ่ที่เห็นมีวางขายก็จะมีสรรพคุณกว้าง ๆ ช่วยในหลาย ๆ เรื่องอย่างเช่น เรื่องเรียน เรื่องความรัก เงินทอง สุขภาพ ความปลอดภัย ความโชคดี อะไรทำนองนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราเพิ่งเคยเห็นเครื่องรางที่มีสรรพคุณเฉพาะเจาะจงรักษาหรือคุ้มครองอวัยวะจุดใดจุดหนึ่งบนร่างกายเป็นพิเศษค่ะ เครื่องรางที่ว่าก็คือถุงสีดำที่อยู่ในภาพด้านบนทางฝั่งขวามือ เห็นว่ามีสรรพคุณช่วยดูแลคุ้มครองเรื่องสุขภาพขาและสุขภาพเท้า ถ้าดูจากรูปที่ปักไว้จะเห็นเป็นฝ่าเท้าสองข้าง คือเราจะไม่รู้สึกแปลกใจเลยถ้าแม่เราไม่ได้นับถือเจ้าแม่กวนอิมมาก ๆ และแม่เราก็เคยประสบอุบัติเหตุโดนรถเมล์ชนสมัยวัยรุ่น จนถึงตอนนี้เขายังมีเหล็กดามกระดูกไว้ในขาอยู่เลยค่ะ เวลาเดินขาเขาจะเขยก ๆ นิด ๆ และเขาก็มักจะมีปัญหาเรื่องปวดบริเวณฝ่าเท้าบ่อย ๆ พอเราเห็นปุ๊บเราก็นึกถึงแม่ปั๊บแล้วก็รีบเดินหยิบเครื่องรางไปจ่ายเงินทันที เอาจริง ๆ เรามาที่นี่ก็เพื่อที่จะมาดูฮอนโดะเท่านั้น ไม่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างอื่นเลย แต่เพิ่งมารู้ที่หลังตอนถึงวัดแล้วว่าที่นี่มีเจ้าแม่กวนอิมพันมือประดิษฐานอยู่บวกกับเรื่องเครื่องรางอีกเราก็แอบรู้สึกเอะใจ โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ เราเชื่อแบบนั้นค่ะ ที่เราได้มาที่นี่ก็อาจจะเป็นเพราะโชคชะตาลิขิตไว้ (สายมูก็มา เนื่องจากเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ขอให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ เราเพิ่งเคยมาเกียวโตเป็นครั้งแรกเลยไม่แน่ใจว่ายังมีศาลเจ้าอื่น ๆ หรือวัดอื่น ๆ ที่มีเครื่องรางแบบเดียวกันนี้ขายด้วยหรือเปล่า ถ้าผิดถูกประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ) เราขออนุญาตเพิ่มเติมรูปสวย ๆ ของฮอนโดะกับบรรดาเครื่องรางที่เราซื้อติดไม้ติดมือมาเป็นของที่ระลึกให้ทุกคนได้ชมกันอีกสักรูปสองรูปนะคะหลังออกจากวัดคิโยมิซุ เราก็อาศัยเดินตามป้ายไปเรื่อย ๆ จนเจอซอยที่มีป้ายเขียนว่าซันเน็นซากะติดอยู่ เราก็เดินตามไปจนถึงถนนฮิกาชิยามะที่มีศาลเจ้ายาซากะตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ไกล ๆ เราเดินไปจนสุดทางแต่ดันเจอทางตัน ทีนี้เราเลยพยายามหาทางเดินออกจากซอยไปที่ถนนใหญ่ให้ได้ แล้วเราก็โชคดีได้เจอกับเจ้าหน้าที่ที่คอยให้สัญญาณโบกรถตรงบริเวณทางม้าลายค่ะ เราเข้าไปถามเขาว่า ขอโทษนะคะ พอจะทราบไหมคะว่าวัดนันเซ็นจิอยู่ทางไหน เขาก็ถามกลับว่ามันไกลนะ คุณจะเดินไปเหรอ เราก็ยืนยันว่าเราจะเดินไป เขาก็บอกทางคร่าว ๆ เราก็พอเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ก็ลองเดินตามทางที่เขาบอกไว้ ก่อนไปก็ไม่ลืมที่จะกล่าวคำขอบคุณในความมีน้ำใจของคุณพี่เจ้าหน้าที่ที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ชาวไทยตาดำ ๆ คนหนึ่ง เราเดินไปตามทางที่เขาบอกแล้วก็อาศัยดูป้ายเป็นหลักจนในที่สุดก็เดินไปถึงวัดนันเซ็นจิค่ะขอสารภาพเลยค่ะว่าเราค่อนข้างรู้สึกผิดหวังกับวัดนันเซ็นจิพอสมควร เราจ่ายค่าเข้าชมเพื่อเข้าไปดูภาพวาดบนบานประตูเลื่อนตามห้องต่าง ๆ ภายในวัด (ทางวัดไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปในส่วนนี้) แล้วเราก็เดินต่อไปที่สวนของวัด ตามความคิดของเราทั้งด้านในวัดและสวนของวัดนันเซ็นจินั้นดูธรรมดาและไม่ได้มีจุดดึงดูดพิเศษอะไร ถ้าเทียบกับสวนของวัดเท็นริวจิหรือวัดคันจิอินที่เราไปมาก่อนหน้านี้ สิ่งเดียวที่พอจะดึงดูดความสนใจของเราได้คือสะพานส่งน้ำที่อยู่บริเวณด้านหน้าวัด ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมบริเวณนี้ได้ฟรีโดยไม่ต้องเสียเงินค่ะ ขอย้ำว่าฟรีนะคะทุกคน แอบเสียดายเงินกับเสียดายเวลานิดหน่อย TT _ TTพอออกจากวัดนันเซ็นจิเท่านั้นแหละค่ะ มหกรรมการหลงทางที่แท้จริงก็ได้เริ่มต้นขึ้น เราหาป้ายบอกทางที่จะไปทางสายปราชญ์หรือวัดเงินกินคะคุจิไม่เจอ แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นกลุ่มเด็กนักเรียนชาวญี่ปุ่นเข้า (เราคิดว่าฟ้าส่งทางรอดมาให้แล้ว) เราเลยเดินเข้าไปถามเขาว่า ขอโทษนะคะ พอจะรู้ไหมคะว่าวัดกินคะคุจิอยู่แถวไหน หลังจากได้ยินคำถามของเรา เด็ก ๆ ในกลุ่มก็รีบหันไปสุมหัวกันและเปิด Google Map อย่างรวดเร็ว (เอาแล้วไงล่ะทีนี้ จะรอดไหมเนี่ย) ในกลุ่มนั้นมีเด็กผู้หญิงอยู่ราว ๆ สองสามคนกับเด็กผู้ชายอีกราว ๆ สามสี่คน เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง คนที่เราเข้าไปทักทีแรก ทำหน้าที่เปรียบเสมือนหัวหน้ากลุ่มคอยถามว่าเราจะไปที่ไหนแล้วไปยังไง หลังจากวุ่นวายกับ Google Map กันอยู่พักใหญ่เด็กผู้ชายคนหนึ่งก็พูดว่าจากตรงนี้ถ้าพี่จะเดินไปที่วัดคือไกลมาก ๆ เลยนะครับ เด็กผู้หญิงที่คอยยืนคุยกับเราอยู่ก็เลยบอกว่า เดี๋ยวพวกเราพาพี่ไปที่ป้ายรถบัสที่อยู่ใกล้ ๆ แถวนี้แล้วพี่ขึ้นรถบัสจากตรงนั้นไปที่วัดจะดีกว่านะคะ สุดท้ายบรรดาน้อง ๆ นักเรียนทั้งหลายก็ยกโขยงพาเราเดินไปตามทางเพื่อหาป้ายรถบัสค่ะ ระหว่างทางเราก็คุยกับน้องผู้หญิงไปเรื่อย น้องเขาถามว่าเรามาจากไหน เราก็บอกว่าเรามาจากประเทศไทย เป็นคนไทยค่ะ แต่พูดภาษาญี่ปุ่นได้นิดหน่อย (ตลอดบทสนทนาเราใช้ภาษาญี่ปุ่นคุยกับน้องเค้าตลอด โชคดีว่าเป็นบทสนทนาพื้นฐานทั่วไปเลยรอดตัวไป ต้องขอบคุณหนังสือบทเรียน มินนะ โนะ นิฮงโกะ จริง ๆ) เขาก็อึ้งกันใหญ่แล้วก็หันไปบอกเพื่อน ๆ ที่เดินตาม ๆ กันมาว่าพี่คนนี้เป็นคนไทยแหละแถมพูดภาษาญี่ปุ่นได้ด้วย ก็ฮือฮากันอยู่พักหนึ่ง แล้วเราก็ชวนน้องเค้าคุยต่อว่าเรียนอยู่ชั้นไหนกันแล้ว เขาก็บอกว่าเรียนอยู่ชั้น ม.2 มาทัศนศึกษากับโรงเรียนกัน คุยไปคุยมาเราก็หันไปเห็นป้ายบอกทางไปทางสายปราชญ์ค่ะ ด้วยความที่เราเกรงใจน้อง ๆ เราเลยบอกว่าส่งพี่ตรงนี้ก็พอเดี๋ยวพี่เดินตามป้ายนี้ไปได้ น้องเขาก็ถามเราว่าพี่จะไหวจริง ๆ เหรอคะ เราก็ยืนยันว่าเราเดินไปได้ สุดท้ายก็ถึงคราวเอ่ยคำร่ำลากับบรรดาเพื่อนต่างชาติตัวน้อย ๆ ทั้งหลาย เราเดินถอยหลังโบกมือบ๊ายบาย หนุ่มน้อยในกลุ่มคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาว่าพี่ครับระวังตัวด้วยนะครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ เป็นฉากจบอันงดงามของมิตรภาพในต่างแดน หลังจากนั้นเราก็เดินไปตามทางสายปราชญ์ซึ่งมีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตรและเดินขึ้นเนินต่อไปอีกราว ๆ 1 กิโลเมตร เพื่อจะเข้าไปที่วัดเงินกินคะคุจิสิ่งที่เรารู้สึกได้ตอนเข้าไปเดินเที่ยวเยี่ยมชมในวัดเงินกินคะคุจิคือความอ่อนน้อม ถ่อมตน ความสมถะ ความเรียบง่าย ความเป็นธรรมชาติ ส่วนสิ่งที่โดดเด่นและดึงดูดสายตาของบรรดาเหล่านักท่องเที่ยวได้มากที่สุดก็เห็นจะเป็นสวนทรายหรือลานทรายสีเงินที่ถูกจัดตกแต่งไว้อย่างประณีตงดงาม สุดท้ายแล้วเราใช้เวลาไปประมาณ 6 ชั่วโมงกว่าในการเดินทางจากสถานีเกียวโตไปวัดคิโยมิซุ ผ่านวัดนันเซ็นจิ ทางสายปราชญ์ ไปจนถึงวัดกินคะคุจิ และกลับมาที่สถานีเกียวโตอีกครั้ง ต้องยอมรับเลยว่าทริปวันนี้เป็นทริปที่หนักที่สุดเมื่อเทียบกับทริปในวันอื่น ๆ ถึงแม้ว่าจะเต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่คาดฝัน แต่มันก็ได้กลายมาเป็นสีสันในชีวิตเรา โดยเฉพาะบรรดาเหล่าน้อง ๆ นักเรียนที่น่ารักทั้งหลายพวกเธอทำให้การเดินทางของพี่มีความหมายมากขึ้นนะก่อนจะจากกันไปเราขออนุญาตจบบทความนี้ด้วยแลนด์มาร์คสวย ๆ ของเมืองเกียวโตที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ ซึ่งก็คือเกียวโตทาวเวอร์นั่นเองและขอแถมด้วยต้นคริสต์มาสเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ที่ถูกนำมาประดับตั้งโชว์ไว้บริเวณด้านหน้าห้างสรรพสินค้า BIG CAMERA ในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ไว้โอกาสหน้าแล้วเราค่อยมาพบกันใหม่นะคะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องราวของเรานะคะ 📍 พิกัดวัดคิโยมิซุ 📍 พิกัดวัดนันเซ็นจิ📍 พิกัดวัดกินคะคุจิ เครดิต รูปภาพทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียนแชร์ที่เที่ยวใหม่ๆ ไม่ว่าจะเที่ยวสายไหนก็มาแวะแชร์กับทรูไอดีคอมมูนิตี้ “เที่ยวไปให้สุด”