ทุกพื้นที่มีความเป็นมา “วัดป่าฝาง(วัดศาสนโชติการาม)” ก็เช่นกัน ชื่อวัดแห่งนี้อาจไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูนักท่องเที่ยวมากเท่าไหร่ เคยสอบถามคนในพื้นที่ หลายๆ คนยังไม่รู้จักเลย แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะความสนใจของคนเราต่างกัน จะให้มารู้ทุกเรื่องก็คงเป็นไปได้ยาก เราเป็นคนหนึ่งที่อยากรู้อยากเห็น เพราะเคยอ่านผ่านหูผ่านตามาว่า ลำปางมีวัดพม่าที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 อยู่ติดกับร้านหนังสือดวงกมลอยู่ 1 วัด สงบ ร่มรื่น สะอาดตา ถ้าอยากแวะพักใจ ก็ให้ลองแวะไปเที่ยวดู แล้วเราก็มาจนได้ เราเดินทางจากถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ลำปาง-เชียงราย พอเจอแยกสนามบิน ก็เลี้ยวขวาเข้ามาในตัวเมืองประมาณ 500 เมตร จะเห็นวัดอยู่ทางขวามือ บริเวณหน้าวัดบ่งบอกไม่ค่อยชัดเจน แม้ว่าจะมีป้ายชื่อวัดแผ่นใหญ่ติดตั้งเอาไว้แล้วก็ตาม เพราะป้ายอยู่แนวเดียวกันกับกำแพงวัด และด้วยความที่มีต้นไม้ใหญ่จำนวนมาก เลยทำให้เรามองเห็นทางเข้าวัดไม่ค่อยชัดเจนเท่าที่ควร แก้ปัญหาด้วยการเปิด GPS ให้นำทางไว้ด้วยก็ดีนะ เดินจากหน้าประตูวัดเข้าไปแค่นิดเดียว เราถึงกับตะลึงเล็ก ๆ กับองค์พระธาตุสีทองด้านหน้า ตั้งตระหง่านเปล่งประกายสีทองขับกับท้องฟ้าสีสดใส ต้นไม้สีเขียวสูงใหญ่ให้ความสดชื่นหนาตา เป็นภาพที่ต้องตั้งใจกดชัตเตอร์ให้ชัดเจนมากที่สุด เพราะธรรมชาติอาจไม่ได้ให้เราเห็นภาพสวยๆ แบบนี้ได้บ่อยครั้งนัก เมื่อถ่ายภาพเรียบร้อยแล้ว เราก็ยืนนิ่งๆ ใต้ร่มไม้ ชื่นชมความงามอีกพักหนึ่งกันเลยทีเดียว วิหารครึ่งตึกครึ่งไม้หลังนี้ หากมาในช่วงเวลาที่เจ้าอาวาสไม่ได้จำวัด ก็จะไม่เปิดให้เข้าไปด้านใน (แต่เราได้เข้าไปนะ) สถาปัตยกรรมที่บ่งบอกเอกลักษณ์ ที่แตกต่างจากวัดไทยของเราก็คือ หลังคาที่เป็นเครื่องไม้ลดหลั่นกันลงมา 3 ชั้น ซึ่งจะไม่เหมือนกับสถาปัตยกรรมของไทยเรา มองดูแล้วก็ให้ประจักษ์ถึงความงดงาม จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีความแปลกตาแต่ลงตัวจริงๆ มาถึงเรื่องโชคดีของเราบ้าง...เพราะเจ้าอาวาสท่านเดินมาเปิดวิหารให้กับเรา เพื่อเข้าไปกราบพระได้ตามอัธยาศัย เราได้กราบพระพุทธรูปที่เป็นศิลปะที่งดงามของพม่า เสาด้านในเป็นไม้สักหลายสิบต้น เพดานมีการตกแต่งโดยแบ่งเป็นช่อง และประดับด้วยกระจกสีไปทั่วบริเวณ รวมถึงบัวหัวเสาด้วย ทราบมาว่าทุก ๆ วันพระ ศรัทธาชาวบ้านจะมาสวดมนต์กันที่วัดนี้เป็นประจำ สังเกตเห็นว่ามีหนังสือสวดมนต์อยู่ 1 ตั้งใหญ่ๆ ขออนุโมนาบุญมา ณ ที่นี้ เราเดินลัดเลาะเข้าไปเกือบด้านหลังวัด พบว่ามีพระอุโบสถอีกหนึ่งหลัง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2449 ในประวัติบอกไว้ว่า เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประธานปางฉันผลสมอ ทรงผ้าลายพันตา ฐานชุกชีประดับด้วยลวดลายปูนปั้นเป็นเรื่องราวชาดก เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปกราบพระด้านใน แต่จากการเดินชมรอบๆ ทำให้รับรู้ได้ถึงการดูแลโบราณสถานเป็นอย่างดี เพราะลวดลายปูนปั้นๆ ต่างๆ ยังคงความงดงามเอาไว้ให้เราได้เห็นอย่างชัดเจน อีกหนึ่งมุมขององค์พระธาตุสีทอง เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ อัญเชิญมาจากพม่า ในปีพ.ศ. 2449 ส่วนฐานจะมีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนรอบฐาน รวมทั้งหมด 8 ซุ้ม คาดว่าจะเป็นลักษณะเฉพาะของศิลปะทางพม่า หากไม่นับว่านี่คือประเทศไทย ก็คล้ายกับว่าเรากำลังเดินอยู่ในประเทศพม่าย่อมๆ กันเลย วัดเล็กๆ กลางเมืองลำปางที่ร่มรื่นพอควร แม้จะมีความเป็นมาเพียง 120 ปีกว่าๆ แต่กลับให้ความสุขใจกับเราได้มากอย่างบอกไม่ถูก เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในการขอพร ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคล แต่พี่ที่เราบังเอิญพบในวิหาร เค้ามาถวายพวงมาลัยดอกไม้สด เห็นว่าคำอธิษฐานเป็นจริง...(ลองเลื่อนขึ้นไปดูภาพในวิหารด้านบนกันนะ)