การออกเดินทาง ไปที่ไหนสักแห่ง ส่วนใหญ่มักเกิดจากแรงปรารถนาบางอย่าง สำหรับคนรุ่นใหม่อาจจะเป็นการท้าทายเพื่อจะได้พบอะไรใหม่ๆ แต่สำหรับคนรุ่นเก่าบางคน การออกเดินทางไปที่ใดที่หนึ่ง อาจจะเป็นเพราะเราต้องการหวนกลับสู่อะไรเก่าๆ อดีตที่เราถวิลหา ช่วงเวลาที่เราพลัดพลาดไป และหวังว่าสักครั้งหนึ่งเราอาจจะได้ไปที่แห่งนั้น...กับใครสักคน "การเดินขึ้นภูกระดึง" ก็เป็นอีกสิ่งที่ฝังใจผมมาเนิ่นนาน ตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยละอ่อนน้อย จนจวบวันนี้วันที่ชีวิตผมเดินทางเลยแยกหลักสี่ ใกล้ถึงห้าแยกล่ะ วันที่ผมเริ่มรู้สึกว่าคงจะไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้แล้ว แต่อยู่ๆก็มีบางสิ่งมากระตุ้นต่อมความอยาก ให้ผมลุกขึ้นเพื่อทำมันให้สำเร็จ อาจจะเป็นความประจวบเหมาะกับช่วงเวลา หรืออาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมคิดว่ายังพอมีหวังที่จะเดินขึ้นภูกระดึงได้ด้วยแรงของตัวเอง ผมใช้เวลาตัดสินใจ 1 วัน เมื่อเห็นภาพใบไม้เปลี่ยนสีที่ภูกระดึงจากเฟสหนึ่งในกลุ่มรักภูกระดึง อีกครั้ง ความจริงผมเคยเห็นภาพอย่างนี้มาก่อนในปีที่แล้ว จากใครสักคนในกลุ่ม ครั้งนั้นผมได้โปสการ์ดเท่ห์ๆใบหนึ่งแทนความรู้สึกดีๆ ที่มีใครบางคนอยากส่งต่อให้ใครอีกบางคนที่ไม่รู้จัก เป็นเล่นเกมส์ง่ายๆที่จุดประกายว่าครั้งหนึ่งผมเคยอยากไปที่นี่แค่ไหน เป็นการตัดสินใจที่รวดเร็วมาก ผมเคลียร์งานเพื่อเตรียมพร้อมที่ออกเดินทางทันที การเดินทางสมัยนี้ทำได้ง่ายแค่จองตั๋วรถบัสผ่านระบบอินเตอร์เน็ตไม่ถึง 30 นาทีก็จ่ายเงินเรียบร้อย จองตํ๋วรถไปภูกระดึง เย็นของวันต่อมา หลังเลิกงานตอน 2 ทุ่ม การเดินทางสู่ภูกระดึงก็เริ่มต้นที่บขส.หมอชิตใหม่ มีซุ้มตัวแทนขายตั๋วไปภูกระดึงหลายเจ้า ผมเลือกจองมากับแอร์เมืองเลย ผมเดินไปที่ช่องขายตั๋วเพื่อเปลี่ยนเป็นตั๋วโดยสารโดยการโชว์รหัสในมือถือ รถออกประมาณ 22.35 น. ถึงผานกเค้าแมวช่วงเช้ามืดประมาณตี 5 องวันถัดมาจากที่นี่เราสามารถนั่งรถสองแถวไปถึงหน้าอุทยานภูกระดึงได้เลย โดยทั่วไปจะแชร์กันระหว่างผู้โดยสาร 10 คน 300 ร้อยบาท ค่าใช้จ่ายอาจปรับเปลี่ยนตามจำนวนคนที่เดินทาง การเดินทางคนเดียวมีข้อดีหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการที่เราสามารถซึมซับกับธรรมชาติแล้วสิ่งรอบตัวได้ง่าย การใช้เวลากับตัวเองบ้าง เป็นสิ่งที่หลายคนละเลยรวมถึงตัวผมด้วย มาคิดดูแล้ว...มนุษย์เราก็เกิดมาเพียงลำพัง ดำรงอยู่และจากไปก็เพียงลำพัง ทำไมต้องแสวงหาสิ่งต่างๆมากมาย ก็แค่มีกินให้อิ่ม นอนให้อุ่น มันก็มีความสุขแล้วนะ การเดินขึ้นภูกระดึงไม่ยากไม่ง่าย คนส่วนใหญ่จะแบ่งสัมภาระออกเป็น 2 ส่วน เพื่อให้ลูกหาบช่วยแบกขึ้นไป อีกส่วนไว้ใช้ติดตัว ผมก็เช่นกัน อาจจะมีบางคนแข็งแรงเพียงพอที่จะแบกสัมภาระได้ด้วยตัวเองทั้งหมด แต่การส่งสัมภาระให้ลูกหาบช่วยก็ถือว่าเป็นการช่วยกระจายรายได้ในชุมชนที่ดี ลูกหาบที่แบกสัมภาระหลายคนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำในช่วงเปิดภูกระดึงตั้งแต่ 1 ตุลาคม ถึง 31 พฤษภาคมของทุกปี ขั้นตอนต่างๆในการติดต่อเพื่อพิชิตภูกระดึง จากประตูหน้าอุทยานสู่ลานกางเต้นท์ แบ่งเป็น 2 ระยะ ทางขึ้นระยะแรก 5.5 กิโลเมตร หลังจากนั้นเป็นทางราบอีกประมาณ 3.5 กิโลเมตร รวมเป็น 9 กิโลเมตร โดยทางขึ้นระยะแรกยังแบ่งย่อยเป็นซำต่างๆ อีก 7 ซำ ได้แก่ ซำแฮก, ซำบอน, ซำกกกอก, ซำกกหว้า, ซำกกไผ่, ซำกกโดน และซำแคร่ จากการเดินทางทำให้เรารู้สึกค่าแบกสัมภาระ กิโลละ 35 บาทไม่แพงเลย เพราะเส้นทางที่ลาดชันและลำบาก ขนาดคนธรรมดาเดินไม่แบกอะไรยังต้องหยุดพักเป็นระยะๆ ทุกซำที่แวะผ่านจะเหมือนโอเอซิสกลางทะเลทราย มีน้ำมีขนมหรือแม้แต่อาหารขายตลอดทาง เหมือนมีคำกล่าวว่า แตงโมที่นี่อร่อยที่สุดแล้ว คงจะจริง ด้วยความเหนื่อย ความหิวและความร้อน ทำให้แตงโมที่ซำต่างๆขายดีมาก แต่สังเกตุว่าชิ้นแตงโมจะบางลงเรื่อยๆ ตามลำดับขั้นของซ่าต่างๆ ความกดอากาศคงมีผลต่อชิ้นแตงโม จนถึงหลังแป ที่จุดนี้เราจะสามารถแวะพักและถ่ายรูปกับป้ายผู้พิชิตภูกระดึง เพื่อแสดงว่าเราได้เดินมาถึงภูกระดึงแล้ว ระหว่างทางจะมีจุดหนึ่งที่เกือบทุกคนจะต้องหยุดถ่ายรูป เค้าเรียกว่า "สนนักเลง" เพราะเป็นต้นสนต้นเดียวที่อยู่ตรงกลางทางเดิน ไม่เก๋าจริงคงอยู่ไม่ได้นานถึงปานนี้ เดินต่อไปอีกระยะหนึ่ง ก็เข้าสู่บริเวณลานกางเต้น เราจะมองเห็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตั้งเด่นเป็นสง่ารอต้อนรับผู้มาเยือน สำหรับผู้ที่จะติดต่อเช่าเต้นท์มาจากด้านล่างแล้ว ก็มาติดต่อรับอุปกรณ์การนอน หมอน ผ้าห่มและหมายเลขเต้นท์ที่นี่ได้เลย สำรวจพื้นที่รอบๆ รอจนลูกหาบส่งสัมภาระมาถึง ก็เก็บของเข้าเต้นท์ เตรียมตัวไปรอดูพระอาทิตย์ตกดินกัน ที่ผาหมากกูด.. ความจริงกิจกรรมต่างๆบนภูกระดึงก็วนเวียนอยู่กับเที่ยวชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก เดินชมธรรมชาติป่าไม้และน้ำตก สิ่งที่เราอาจจะเคยเห็นมาแล้วจากที่อื่น แต่การได้ดูพระอาทิตย์ตกดินที่นี่สำหรับผม เสมือนการที่ผมได้หมุนเวลาของตัวเองกลับไปในช่วงหนึ่งของอดีต ที่ที่ผมปรารถนาจะได้มาพร้อมกับใครอีกคนหนึ่ง บางทีถ้ามิติเวลาสามารถทับซ้อนได้อย่างในหนังวิทยาศาสตร์ เราอาจได้นั่งเคียงข้างกัน และเฝ้ามองพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินพร้อมกัน... " ตึกตัก ๆ ..... " เสียงฝีเท้าของใครหลายคนที่วิ่งผ่านหน้าเต้นท์ ทำให้ผมรีบลุก เพราะนี่คือสัญญาณว่าได้เวลาสำหรับการเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ ผานกแอ่น จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า การเดินจริงๆไม่ไกล แต่ด้วยความที่ยังมืดมาก แสงดาวแสงเดือนก็ไม่มี ทำให้การเดินตามแสงจากกระบอกไฟฉายของเจ้าหน้าที่สำคัญมาก ย้ำว่าสำคัญมาก เพราะเคยมีหลายคนพลัดหลงจนเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งคงไม่ดีแน่ถ้าเกิดขึ้นกับเรา ผมชอบบรรยายกาศตอนเฝ้ารอนะ มันเป็นความสุข เป็นอาการลุ้นปนตื่นเต้น ทั้งที่ลึกๆในใจกลัวจะผิดหวังไม่ได้เจอแสงอาทิตย์สวยๆอย่างใจปรารถนา ก็กระนั้นก็ยังเลือกที่จะมารอ เพราะการรอนั่นคือการแสดงว่าเรายังมีความหวัง อาจจะเหมือนกับการซื้อหวยล่ะมั้ง ที่ทำให้เรามีหวังที่จะสามารถทำอะไรได้อย่างใจปรารถนา ถึงมันจะถูกยากเย็นเพียงใด เราก็ไม่ย่อท้อ บางทีชีวิตของเราๆท่านๆก็ไม่ต่างกันหรอก การดำรงอยู่ของเราทุกวันนี้ อาจเพราะลึกๆเรามีความหวังบางอย่าง บางทีเราอาจจะไม่สมหวังเลยตลอดชีวิต แต่เรายังคงมีความหวังและใช้เป็นเสมือนเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตให้ดำเนินต่อไปได้ แต่ถ้าไร้ซึ่งความหวังแล้ว เมื่อนั้นจิตใจของเราอาจจะแตกสลายไปก่อนร่างกายก็ได้นะ ผมเดาเอา..ขณะที่นั่งดูพระอาทิตย์กำลังจะขึ้น ผมก็เกิดคำถามผุดขึ้นในใจอีก ทำไมเราถึงอยากมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มีมาตลอดทุกวันเป็นระยะเนิ่นนานเป็นพันล้านปีแล้วมั้ง แต่ก็ตอบตัวเองไม่ได้ รู้แต่ว่าชอบ เหมือนการที่เราชอบอะไรสักอย่าง ผ่านมานานแค่ไหนก็ยังชอบ มันคงเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ติดอยู่ใน DNA ล่ะมั้ง ขากลับเดินผ่านลานพระแก้วไหว้พระขอพรกัน ที่นี่นอกจากพระพุทธรูปแล้ว จะเห็นลานหินกว้างๆ มีแอ่งน้ำเล็กๆ มีรอยเท้าสัตว์ ก็น่าจะเป็นกวาง หรือหมูป่า ผมคิด... เนื่องจากเมื่อวานเดินมาเยอะแล้ว วันนี้ผมเลยตั้งใจเช่ารถจักรยาน เพื่อเซฟสภาพร่างกาย ถึงจะไม่ได้ปวดเมื่อยอะไรมาก แต่การใช้ร่างกายทั้งวันอย่างนี้ก็คงไม่เหมาะคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างผม.. ที่นี่มีจักรยานให้เช่า 2 แบบ คือแบบธรรมดา และแบบล้อใหญ่ ราคา 360 บาท และ 410 บาทถ้าให้แนะนำผมว่าแบบล้อใหญ่เหมาะกับการขับขี่ชมวิวมากกว่า เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเนินและแนวหินกรวดดินทราย ซึ่งการที่จักรยานล้อใหญ่หน่อย จะทำให้เราขับขี่สะดวกไม่ต้องห่วงตอนต้องขึ้นเนินลงเนิน กระแทกพื้นเท่าไหร่ จากที่ผมพูดคุยกับน้องทีเปิดร้านให้เช่ารถจักรยาน คนส่วนใหญ่จะแบ่งการเดินท่องเที่ยวบนภูกระดึงเป็น 2 เส้นทาง 1. แนวเลียบผา เพื่อชมวิวทิวทัศน์ ซึ่งตรงนี้จะสะดวกสำหรับการขี่จักรยานมาก เป็นทางเนินสูงต่ำแต่ไม่มาก ปั่นจักรยานไปได้เรื่อยๆ จนถึงผาหล่มสัก 2. แนวป่าและน้ำตก สามารถทำได้แต่ไม่สะดวก เพราะต้องจอดรถจักรยานเพื่อเดินลงไปชมน้ำตก ปัญหาหนึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ชอบคือการที่ต้องเดินย้อนกลับเส้นทางเดิม ซึ่งถ้าหากไม่มีจักรยาน นักท่องเที่ยวสามารถเดินต่อไปจุดท่องเที่ยวอื่นได้เลย สรุปว่าผมเช่าจักรยานเพื่อปั่นเส้นทางเลียบหน้าผา จุดสิ้นสุดอยู่ที่ผาหล่มสัก แหล่ง check in สุดฮิต ที่ว่าถ้าใครมาภูกระดึงแล้วไม่มีภาพนี้ ถือว่าพลาดมาก ผมมาถึงผาหล่มสัก ในเวลาบ่ายสองกว่าๆ คนยังไม่เยอะมาก จึงได้มีโอกาสได้ถ่ายรูปในมุมที่ต้องการ โชคดีที่อากาศเป็นใจ มีเมฆเป็นระยะ ทำให้แสงสวย เวลาถ่ายได้มุมมองที่ดีแปลกตา แต่รูปถ่ายมากมายแต่กลับถูกใจเพียงไม่กี่ภาพ ซึ่งก็ไม่แปลก ผมก็แค่หวังว่าจะมีสักภาพที่จะติดอยู่ในใจแบบไม่ลืมเลือน ภาพถ่ายที่ดีที่สุดถูกเก็บไว้ในความทรงจำ ก็แปลกดี บางทีความทรงจำที่ดีอาจกลับมาเป็นพลังเติมเต็มให้กับเราในวันที่แย่ๆ ผมหวังว่า... ผมเปลี่ยนใจเดินทางออกจากผาหล่มสักเพื่อมาดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาเหยียบเมฆแทน เพราะดูจากคนที่เดินทางมาถึงผาหล่มสักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คิดว่าช่วงเย็นคนน่าจะเยอะมาก ประกอบกับตอนขากลับผมแวะพักที่ผาเหยียบเมฆแล้วชอบทัศนียภาพที่ผาเหยียบเมฆมาก ที่นี่เป็นลานกว้างที่ไม่มีอะไรบังเลย ผมว่าที่นี่ก็น่าจะเหมาะกับการชมพระอาทิตย์เหมือนกัน แล้วผมก็พบว่าเป็นความคิดที่ถูกต้อง เมื่อมาถึงผาเหยียบเมฆ ทั้งลานกว้างมีผมนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินเพียงคนเดียว ผมได้สัมผัสถึงความรู้สึกอิสระ และปลอดโปร่ง มีความสุขกับการมีอยู่ของตัวเอง ผมว่ามันดีนะ... เมื่อพระอาทิตย์สิ้นแสงผมก็เริ่มปั่นจักรยานกลับที่พัก ผมคิดว่าคงดีกว่าถ้าจะถึงที่พักตอนที่ยังไม่ดึกมาก น้ำบนภูเย็นอย่างไม่ต้องอธิบายอะไรมาก การโดนน้ำไม่ว่าเวลาเช้าหรือเย็น ล้วนสร้างความหนาวสะท้านใจสะท้ายกาย หมูกะทะสักมื้อ คงเป็นอะไรที่คุ้มค่ากับการเดินทางวันนี้ วันนี้ผมตั้งใจลงจากภูกระดึง แต่ยังติดใจที่ไม่ได้แวะน้ำตก จึงตัดสินใจแวะก่อนลง ดังนั้นหลังจากจัดการมื้อเช้าแบบง่ายๆในเต้นท์ พร้อมกับเฝ้าดูพระอาทิตย์ที่ค่อยๆโผล่พันทิวไม้ด้านหน้า ผมก็รีบเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดไปคืน พร้อมแจ้งลูกหาบ อันที่จริงเราควรแจ้งลูกหาบล่วงหน้าก่อน 1 วัน เพื่อที่ทางลูกหาบจะได้จัดคิวให้ถูกต้อง กรณีที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ บางคนที่ลงไปเร็วอาจต้องรอสัมภาระจากลูกหาบ แต่ผมตั้งใจลงหลังเที่ยงอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหา การเดินไปชมเส้นทางน้ำตก สามารถเดินจากด้านหลังของแนวร้านอาหารได้เลย การเดินเส้นทางน้ำตกนี้จะแตกต่างกับเส้นทางเลียบหน้าผามาก เพราะเส้นทางนี้จะเป็นป่าเสียส่วนใหญ่ บางช่วงต้องปีนป่ายขึ้นลง จากน้ำตกแต่ละแห่ง จะมีจุดชมวิวหลากหลายและไปต่อได้หลายทางเพื่อนร่วมทางก็น้อยผิดกับเมื่อวานลิบลับ จากป่าเดินผ่านแนวไม้ไปเจอทุ่งหญ้า และปีนก้อนหินวนลงมาเจอน้ำตกสลับกันอาจจะเพราะผมได้อ่านนิยายเพชรพระอุมามาด้วยละมั้ง ทำให้เกิดจินตนาการว่าตัวเองคือ รพินทร์ ไพวัลย์ ผู้ที่กำลังแสวงหาหนทางสู่ดินแดนลับแล เพื่อไขปริศนาแห่งขุมทรัพย์เพชรพระอุมาอยู่ เป็นการพญจภัยเล็กๆ ที่สนุกสนามได้บรรยายกาศไปอีกแบบ วันที่ผมไปเดินชมน้ำตก ถือว่าเป็นช่วงที่ใบไม้เมเปิ้ลที่กำลังเริ่มเปลี่ยนสีพอดี จึงได้มีโอกาสเก็บภาพความงดงามที่หาดูได้ยากอีกอย่างของที่นี่ ส่วนใหญ่ต้นไม้ที่จะเปลี่ยนสีเต็มที่ช่วงกลางเดือนธันวาคม ดังนั้นเท่าที่ได้เจอก็ถือว่าเยี่ยมแล้วครับ เมื่อหมดเวลาแห่งโลกในจินคนาการ ผมก็กลับเข้ามาสู่โหมดของความเป็นจริง ถ่ายรูปที่ลานกางเต้นท์ เพื่อเป็นการบันทึกความทรงจำสุดท้ายก่อนกลับ และร่ำลากันด้วยเพลงนี้ เพลงภูกระดึง ที่ศูนย์บริการเปิดผ่านลำโพงกระจายเคลียคลอให้ตลอดทั้งวัน คำร้อง- แก้ว อัฉริยะกุล ทำนอง- เอื้อ สุนทรสนาน ผู้ร้อง - มัณฑนา โมรากุล