สวัสดีค่ะ วันนี้ผู้เขียนจะมาแบ่งปันประสบการณ์ที่ครั้งนึงเคยมีโอกาสได้ไปเรียนดนตรีกะเหรี่ยง ถึงที่หมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงเลย และสมัยที่ผู้เขียนไปนั้น (3-4 ปีที่แล้ว) ยังไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ โทรหาใครก็ไม่ได้ จะเล่นเน็ตหรือโพสต์ลง social ก็ต้องรอออกจากหมู่บ้านก่อน ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องจุดตะเกียง วางไว้ตามทางเดินและในห้องน้ำ น้ำที่ใช้กิน ใช้อาบ ก็ยังเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไหลมาจากบนเขา ที่นั่นทุกอย่างยังเป็นธรรมชาติ สวยงามและบริสุทธิ์ ทั้งผู้คน สถานที่และดนตรี ครั้งหนึ่งเราเคยเรียนดนตรีกะเหรี่ยงที่ หมู่บ้านกองม่องทะ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี สังขละบุรีนี้มีดีหลายอย่าง ทั้งสะพานมอญ ล่องแพ ธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์ แม่น้ำใสสะอาดและต้นไม้เขียวสบายตา ที่สังขละมีวัฒนธรรมหลายอย่างปะปนกันอยู่ มีทั้งชาวมอญ พม่า กะเหรี่ยงและไทย หลายคนอาจจะสงสัย ว่ามอญ พม่า กับกะเหรี่ยง ไม่เหมือนกันหรอ ขอตอบว่า"ไม่เหมือนกันค่ะ" ไว้วันหลังเราจะมาเล่าให้ฟัง แต่ที่เราจะมาเล่าวันนี้เป็นเรื่องของชาวกะเหรี่ยงที่เราได้ไปสัมผัสมาโดยตรง ชาวกะเหรี่ยง เขาแบ่งเป็น 2 กลุ่มนะคะ มีกะเหรี่ยงปกากญอกับกะเหรี่ยงโป ถ้าเปรียบก็เหมือนกับคนไทยภาคเหนือกับภาคใต้ ที่พูดภาษาคล้ายกัน มีวัฒนธรรมบางอย่างคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน ลองจินตนาการให้คนใต้กับคนเหนือมาพูดภาษาถิ่นใส่กันสิคะ บางคำก็เข้าใจกัน บางคำก็คลับคล้ายคลับคลา เหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ (เราถามจากคนกะเหรี่ยงโดยตรงนะคะ เรื่องกะเหรี่ยงปกากญอกับโป แล้วเขาอธิบายมาแบบนี้) และที่เราไปสัมผัสคือกะเหรี่ยงโปค่ะ ที่จะอยู่ชายแดนแถวตะวันตก ถ้าแถวชายแดนภาคเหนือส่วนใหญ่เป็นปกากะญอ ที่หมู่บ้านกองม่องทะนี้ มีเครื่องดนตรีหลายอย่าง ชาวกะเหรี่ยงโป เรียกว่า เมตารี นาเด่ย และวงชะพูชะอู แต่ที่เราไปครั้งนั้น ได้เรียนวงชะพูชะอูเป็นส่วนใหญ่(หน้าตาเหมือนในรูป) ที่เราได้มีโอกาสไปเรียนเพราะทางภาควิชาสมัยเรียนมหาวิทยาลัยพาไปค่ะ ดนตรีกะเหรี่ยงมีเรียนในรายวิชา และโชคดีที่อาจารย์พาไปเรียนและไปเห็นถึงที่ เป็นการเปิดโลกและประสบการณ์ทางด้านดนตรีเลยค่ะ ดนตรีกะเหรี่ยง ไพเราะและมีสเน่ห์มากๆ ครูที่สอนก็น่ารัก สบายๆ บ้านๆ พูดไทยได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็อารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใสกัน และเขาตั้งใจสอนมาก มีสอนทั้งรำและดนตรีด้วย นอกจากจะเรียนดนตรีแล้ว มีที่เที่ยวเดินเล่นในหมู่บ้านที่มาทีไรต้องแวะไป คือสะพานข้ามแม่น้ำรันตี และตอนเย็นๆ ก็จะพากันไปอาบน้ำที่แม่น้ำรันตี แม่น้ำนี้ก็เป็นแหล่งน้ำเดียวกับที่ต่อเข้าบ้านผู้คน ถ้าไปอาบน้ำที่แม่น้ำก็ไม่จำเป็นต้องมาอาบที่บ้านอีกแล้วละค่ะ สะอาดเท่ากัน และใครไปแรกๆ อาจสงสัย เห็นก๊อกน้ำเปิด มีน้ำไหลออกตลอดเวลา อย่าเผลอไปปิดของเขาเลยนะคะ ถ้าเผลอไปปิดก๊อกน้ำ ท่อน้ำจะแตก ต้องปีนเขาขึ้นไปดูกันว่าแตกตรงไหน เพราะที่นี่เป็นระบบน้ำไหลจากธรรมชาติไม่ใช่จากประปาแบบในเมือง ที่เราเขียนบทความนี้ เพราะอยากให้ทุกคนได้มีโอกาสเห็นเหมือนที่เราเคยไปสัมผัสมา และรับรู้ว่ายังมีเรื่องราวแบบนี้อยู่ แถมไม่ไกลจากกรุงเทพเท่าไหร่เลย เดินทาง 6 ชั่วโมงก็ถึง และตอนนี้ที่แห่งนี้เปิดทำเป็นโฮมสเตย์ด้วยนะคะ ชื่อบ้านครูชาติ เราไม่มีเบอร์โทรไว้ให้ เพราะสมัยนั้นไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มีเบอร์ติดต่อ (ยังสงสัยจนป่านนี้ว่าอาจารย์เราติดต่อกับเขายังไง555) แต่ตอนนี้น่าจะหาได้ไม่ยาก ครูชาติเขาบอกกับเราก่อนกลับเสมอว่า ว่างๆ มาเที่ยวกันได้นะ ไม่ต้องมากับกลุ่ม กับมหาลัย ก็แวะมาเที่ยวได้ต้อนรับเสมอ ที่จริงที่แห่งนี้มีเรื่องเล่าอีกเยอะแยะที่เราอยากจะเขียนแบ่งปัน ทั้งโหดมันฮา ไปงานประเพณีฟาดข้าว เดินขึ้นเขา 3 กิโล อันนี้ก็พีค ไว้มีโอกาสจะมาเล่าต่อนะคะ รูปทั้งหมดจากเพื่อนผู้เขียน