ที่บ้านผมเตือนอยู่หลายครั้ง เรื่องให้ระมัดระวังตัวให้ดีหากจะต้องเดินทางไปยังเวียดนามโดยลำพัง ก่อนหน้านี้ผมค่อนข้างกังวลพอสมควรเกี่ยวกับการเดินทางมาโฮจิมินห์หรือเมืองไซ่ง่อนในอดีตของเวียดนาม ด้วยคำบอกเล่าเกี่ยวกับเมืองนี้ค่อนข้างเป็นไปในเชิงลบพอสมควร โดยเฉพาะสารพัดกลโกงทั้งในเรื่องของการโกงค่าโดยสารนักท่องเที่ยว ผู้คนไม่รับแขก ร้านค้าไม่ทอนเงิน ท้องถนนเต็มไปด้วยการฉกชิงวิ่งราวและเสียงแตรอันบ้าระห่ำของยวดยานพาหนะโดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งยั้วเยี้ยเต็มอาณาบริเวณ ซึ่งนอกจากมลพิษทางเสียงบนท้องถนนที่จัดอยู่ในขั้นย่ำแย่แล้ว ระเบียบวินัยการจราจรก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่จริงในเวียดนาม ยังไม่นับรวมความสกปรกของบ้านเมืองที่นิยมทิ้งขยะและขับถ่ายเรี่ยราดกันตามที่สาธารณะ จนมีกระทู้หนึ่งถูกตั้งไว้ใน Pantip ว่าอย่าได้ไปอีกเลยโฮจิมินห์ และอีกหลายเรื่องราวด้านลบที่ถูกถ่ายทอดกันมาอย่างต่อเนื่องหากหัวข้อของการสนทนานั้นเกี่ยวข้องกับประเทศ “เวียดนาม” ท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ช่วงบ่ายแก่ๆ ณ สนามบินเติ่นเซินเยิ้ด ของนครโฮจิมินห์ ทันทีที่เสร็จสิ้นพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรเรียบร้อย ผมเดินออกจากอาคารผู้โดยสาร เพื่อหาทางขึ้นรถบัสสาย 152 ไปลงในย่านฟามงู๊เล๋า (Pham Nhu Lao) ย่านใจกลางเมืองของนครโฮจิมินห์ ขณะก้าวขาขึ้นไปนั่งบนรถบัสความเชื่อเกี่ยวกับเวียดนามที่ได้รับฟังมาก่อนหน้านี้เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เมื่อกระเป๋ารถเมล์มาเก็บเงินค่าโดยสาร ผมพยายามค้นหาเงินด่องที่มูลค่าน้อยที่สุดเพื่อที่ว่าหากไม่มีการทอนเงินก็จะได้รู้สึกไม่ต้องเสียดาย แต่ทว่าเวลานี้ผมไม่มีธนบัตรที่มูลค่าต่ำกว่า 10,000 ด่องเลย มีแต่ธนบัตรฉบับละ 100,000 ด่อง ผมจึงตัดใจวัดดวงด้วยอยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างที่เลื่องลือกันหรือไม่ กระเป๋ารถเมล์รับเงินจากผมไปด้วยท่าทางนอบน้อมเพราะยื่นตั๋วมาให้ผม แล้วเดินจากไปทิ้งท้ายไว้เพียงถ้อยคำที่ดูแพงว่า “Give me a second” (ขอเวลาผมสักครู่) ผมตื่นเต้นพอสมควรว่าจะทำอย่างไรหากชายผู้นี้ไม่หวนกลับมาพร้อมกับเงินทอน เพราะเคยได้รับข้อมูลมาอีกว่าเคยมีการทำเนียนไม่คืนเงินทอนให้แก่ผู้โดยสารและจะอ้างทันทีว่ายังไม่ได้รับเงินค่าโดยสารเลย มิหนำซ้ำหากกำลังอยู่ในช่วงเคราะห์ตกดวงซวยอาจถูกทำร้ายหากไปทวงเงินทอน และตำรวจของเวียดนามก็ไม่ใช่ที่พึ่งของนักท่องเที่ยวด้วย แต่แล้วความกระเส่าทางความคิดของผมก็มีอันต้องยุติลง เมื่อชายคนดังกล่าวนำเงินทอนมาคืนให้ผมอย่างครบถ้วน พร้อมกับการกล่าว “Thank you” ทิ้งท้ายไว้ด้วยสีหน้าที่เป็นมิตร ซึ่งผมสัมผัสได้ทันทีว่าถ้อยคำอันแสนธรรมดาที่ชายผู้นั้นเปล่งออกมามันออกมาจากใจของเขาอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นการพูดแบบรวกๆ หรือพูดลอยๆ แบบให้ผ่านๆ ไป ตามหน้าที่หรือตามขนบจารีตกำหนด สภาพการจราจรในนครโฮจิมินห์ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน บรรยากาศในนครโฮจิมินห์ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน อนุสาวรีย์ประธานาธิบดีโฮจิมินห์ บริเวณด้านหน้าศาลาว่าการนครโฮจิมินห์ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน นครโฮจิมินห์ในวันนี้เติบโตและทันสมัยมากแม้ยังคงกลิ่นอายความคลาสสิคแต่เป็นเสน่ห์ที่สวยงาม ปัจจุบันนครโฮจิมินห์ถือเป็นเมืองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม รวมทั้งมีประชากรหนาแน่นกว่ากรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม สภาพของบ้านเมืองมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดสะอ้านไม่ค่อยมีขยะให้เห็นดาษดื่น ที่สำคัญมีพื้นที่สีเขียวเยอะมาก เห็นได้จากต้นไม้ใหญ่ริมถนน และแวดล้อมไปด้วยสวนสาธารณะ ย่านธุรกิจในนครโฮจิมินห์ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน โบสถ์นอร์ทเตอร์ดัมส์แหล่งท่องเที่ยวสำคัญในนครโฮจิมินห์ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน พื้นที่สีเขียวในนครโฮจิมินห์ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน เย็นวันแรกของการเยือนนครโฮจิมินห์ ผมตั้งใจไปรับประทานอาหารแบบท้องถิ่นพร้อมกับสัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนบริเวณถนนคนเดินรอบตลาดเบนถั่น ซึ่งเต็มไปด้วยสินค้าหลากหลายชนิด ร้านรวงจัดวางข้าวของเรียงราย พร้อมเสียงตะโกนโหวกเหวกเรียกลูกค้าไม่ต่างจากบรรยากาศการค้าขายทั่วไปที่เราคุ้นชิน ผมตัดสินใจเดินเข้าร้านขายอาหารข้างทางเพื่อรับประทานอาหารท้องถิ่นของชาวเวียดนาม ซึ่งหนีไม่พ้น “เฝอ” และ “ปอเปี๊ยะสด” ร้านขายอาหารส่วนใหญ่ของเวียดนามจะมีผักสดมากองไว้ให้เยอะมาก เรียกได้ว่าเป็นกระบุงเพื่อเอาไว้รับประทานคู่กับอาหารจานหลัก โดยรวมแล้วรสชาติอาหารของร้านนี้อร่อยเป็นไปตามที่คาดหวังไว้พอสมควร ทันทีที่ผมรับประทานอาหารเสร็จก็เดินไปจ่ายเงินให้กับแม่ค้าแบบพอดีกับค่าอาหารจะได้ตัดปัญหาเรื่องการทอนเงินหรือเล่นมายากลกับกับเงินทอนตามที่ที่เคยได้รับข้อมูลมา ด้วยก่อนหน้านี้ผมได้แลกธนบัตรยิบย่อยกับทางโรงแรมมาพอสมควร หลังจากนั้นผมก็ลุกพรวดเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว เพราะต้องการแข่งกับเวลาเพื่อรีบไปถ่ายรูปโบสถ์นอร์ทเตอร์ดัมส์ในยามค่ำคืน ทันใดนั้นผมรู้สึกว่ามีคนวิ่งตามมาด้านหลังพร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวกเป็นภาษาเวียดนาม และผมก็เพิ่งมารู้สึกว่าเส้นทางที่ผมเพิ่งผละลุกออกมาจากร้านขายเฝอนั้นมันช่างมีแต่ความเปลี่ยวเหงาอะไรเช่นนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเต็มไปด้วยผู้คนที่ขวักไขว่ ผมตกใจจึงรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดที่จะหันหลังกลับมาดูต้นเสียง ความตื่นตระหนกเริ่มบังเกิดขึ้นอีกครั้ง อะไรกัน เพิ่งจะนึกชื่นชมกับผู้คนที่นี่อยู่แท้ๆ แถมดันพกเงินสดออกมาหมดเลย ถ้าโดนปล้นจี้ไปคราวนี้จะดำรงชีวิตอยู่ในบ้านนี้เมืองนี้ต่อไปอย่างไร แต่แล้วด้วยความเจนเวทีกว่าของเจ้าถิ่นจึงทำให้เข้าเขาประชิดตัวผมอย่างรวดเร็ว ผมสะดุ้งโหยงสุดตัวเมื่อรู้สึกว่ามีมือมาจับที่บ่าด้านซ้าย เสียงหอบดังรดต้นคอของผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะรวบรวมความกล้าแล้วหันกลับไปยังที่มาของเสียงเหนื่อยหอบนั้น ภาพของชายวันรุ่นอายุไม่น่าเกิน 18 ปี คือสิ่งปรากฏที่อยู่เบื้องหน้าของผมในขณะนี้ และผมก็เริ่มคุ้นหน้าเค้าอย่างมาก กระทั้งเริ่มนึกออกว่าผมเพิ่งเจอเค้าที่ร้านขายเฝอ !ยามค่ำคืนในนครโฮจิมินห์ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ชายคนดังกล่าวรีบยื่นเงินมาให้ผมพร้อมพูดเป็นภาษาเวียดนาม 2 – 3 ประโยค ก่อนหันหลังกลับแล้ววิ่งไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ผมยืนงงอย่างโดดเดี่ยวอยู่ชั่วขณะ เงินที่ผมได้รับมาจากชายผู้นั้นปรากฏเป็นธนบัตรฉบับละ 100,000 ด่อง จำนวน 1 ฉบับ และฉบับละ 10,000 ด่อง จำนวน 8 ฉบับ มาถึงตรงนี้ปริศนาก็ถูกคลี่คลายในทันที เมื่อผมพบว่าธนบัตรฉบับละ 100,000 กับ 10,000 ด่องนั้นมีความแตกต่างกันเพียงเลขศูนย์ที่เติมอยู่ด้านหลังเลข 1 เท่านั้น คือรูปร่างหน้าตาในเชิงกายภาพของธนบัตรทั้ง 2 ฉบับมีความใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก ดังนั้นค่าอาหารเย็นที่ผมเพิ่งรับประทานไปซึ่งมีมูลค่ารวม 35,000 ด่อง แต่ด้วยความสะเพร่าและไม่สังเกตอย่างถี่ถ้วนในสิ่งที่หยิบยื่นออกไป ทำให้ผมได้จ่ายค่าอาหารมื้อนั้นไปจำนวนทั้งสิ้น 215,000 ด่อง และชายผู้นั้นก็วิ่งเอาเงินทอนมาคืนให้ผมอย่างครบถ้วน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่คนเวียดนามเอาเงินมาคืนผมถึงที่ ครั้งแรกเป็นการทอนเงินปกติ และครั้งที่สองเป็นการทอนเงินและคืนเงินที่ผมได้จ่ายเกินจำนวนไป นี่ผมทำอะไรลงไป ผมวิ่งหนีอะไรมา ความสะเพร่าของตัวเอง ความกลัว หรือวิ่งหนีตามมายาภาพที่คนอื่นบอกให้วิ่ง โบสถ์นอร์ทเตอร์ดัมส์ในยามค่ำคืน ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ค่ำคืนนี้ผมรู้สึกว่าโบสถ์นอร์ทเตอร์ดัมส์ได้ประกายความงดงามออกมาเป็นพิเศษ ภาพลบเกี่ยวกับตัวตนของเวียดนามที่ผมมีอย่างเปี่ยมล้นก่อนหน้านี้ได้ถูกชะล้างจนหมดสิ้น การเยือนนครโฮจิมินห์หรือไซง่อนของผมในครั้งนี้ทำให้พบว่ามายาภาพที่ถูกหล่อหลอมล้วนเป็นของปลอม หลายครั้งที่คำบอกเล่าของใครก็ตามเป็นสิ่งที่กลั่นกรองออกมาจากมุมมองความคิด ความเชื่อ และรสนิยมเฉพาะของแต่ละบุคคลซึ่งล้วนมีความแตกต่างกันไป และข้อเท็จจริงอันเป็นปัจจุบันก็อาจเปลี่ยนแปลงไปแล้วภายใต้บริบทแวดล้อมที่ผูกโยงกับเงื่อนไขของกาลเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง สิ่งเหล่านี้จึงมีน้ำหนักมากพอที่ทำให้เราต้องออกมาพิสูจน์และค้นหาด้วยตัวของเราเอง แต่ทว่าบนโลกอันวิปลาสใบนี้ภัยอันตรายยังคงถูกซุกซ่อน หากการเดินทางของเราอยู่บนพื้นฐานของความประมาทและการขาดหายไปของ “สติ” เรื่องและภาพหน้าปกโดยผู้เขียน