Julley... คำทักทายคำแรกที่เราได้ยินเมื่อเท้าสัมผัสพื้นดิน ณ เลห์ เมืองหลวงของแคว้นลาดักห์ รัฐจัมมูและแคชเมียร์ ประทศอินเดีย คำที่แปลได้ทั้ง สวัสดี...ขอบคุณ...ขอโทษ...และลาก่อนจะเกริ่นก่อนว่าเกิดมาจนอายุ 28 ปี ยังไม่เคยรู้จักว่ามีเมืองที่ชื่อ "เลห์ ลาดัก" เลยค่ะ จนกระทั่งมีรุ่นพี่ที่สนิทกันในที่ทำงานได้ชักชวนไป"ไปเลห์กัน"ความที่เราเป็นคนเชื่อคนง่าย โอเค จัดไปค่ะ เราก็เริ่มหาข้อมูลของเมืองนี้ จะไปเที่ยวทั้งทีก็ขอให้มีข้อมูลให้อุ่นใจไว้ก่อนจากที่เริ่มหาข้อมูล ก็เห็นรูปตามรีวิวต่างๆมากมาย โอโห นี่เราไปอยู่ที่ไหนมาถึงไม่รู้จักที่นี่เลห์ หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ธิเบตน้อย เพราะมีวัฒนธรรมค่อนไปทางธิเบตและผู้คนก็ดูมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย ผู้คนที่นี่หน้าตาไม่ค่อยเหมือนคนอินเดียซักเท่าไหร่ จะออกไปทางจีน ทางปากีสถาน ซะมากกว่า เลห์ตั้งอยู่บนความสูง 3,524 เมตรจากระดับน้ำทะเล(อ้างอิงจากวิกิพีเดีย) อากาศที่่นี่จึงเบาบางมาก คนจากระดับความสูงปกติแบบเราๆทั้งหลายอาจจะเป็นโรค AMS หรือโรคแพ้ความสูงได้ เจ้าโรคนี้มันไม่เกี่ยวกับว่าใครมีสุขภาพแข็งแรงแล้วจะไม่เป็น มันเป็นโรคที่แรนด้อมค่ะ ใครจะเป็นหรือไม่เป็นอยู่ที่การปรับตัวของร่างกายแต่ละคน เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อนให้รับประทานยา diamox ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่เลห์นะคะ ไม่อย่างนั้นก็จะมีอาการปวดหัว คล้ายจะเป็นลม เป็นหนักก็อาจจะถึงแก่ชีวิตได้ เที่ยวไม่สนุกได้นะคะทริปนี้เรารวบรวมสมาชิกได้ทั้งหมด 7 คน เรากำหนดวันเดินทางเป็นช่วงเดือนตุลาคม เนื่องจากผู้เสนอทริปอยากไปดูใบไม้เปลี่ยนสีท่ามกลางภูเขาสูงชันที่เป็นฉากหลัง ส่วนตัวเรานั้นไปเดือนไหนก็ได้ค่ะ เที่ยวได้ทุกเดือน 5555+เรากำหนดว่าจะไปกันประมาณ 9 วันค่ะ สมาชิกในกลุ่มที่เก่งภาษาอังกฤษก็ได้ทำการดีลไกด์ท้องถิ่นให้เค้าแพลนเที่ยวและคำนวนค่าเสียหายมาให้ การเที่ยวในเลห์จะต้องมีใบ permit นะคะ ซึงถ้าจะเราจะเที่ยวด้วยตนเองก็ไม่ยากค่ะแต่จะยุ่งยากนิดหน่อยในเรื่องใบ permit ซึ่งถ้าเราดีลไกด์ ตรงนี้ไกด์ก็จะจัดการให้ทั้งหมดเลยค่ะและที่สำคัญ จะเข้าประเทศอินเดีย เราต้องทำวีซ่านะคะ โดยจะยื่นทางอินเตอร์เน็ตก็ได้ หรือจะยื่นด้วยตนเองก็ได้ค่ะ แต่เราเลือกยื่นทางอินเตอร์เน็ตเนื่องจากสะดวกสบายกว่ามากค่ะ เมื่อเราได้วีซ่ามาแล้วก็จองตั๋วเครื่องบินกันเลย ทริปนี้เราเลือกบินโดยสายการบิน air india ค่ะ ซึ่งเราต้องแวะ ทรานซิตที่สนามบินเดลีก่อน เพราะไม่มีเที่ยวบินตรงไปถึงเมืองเลห์ของเรานะคะ ราคารวมถึงเที่ยวที่ทรานซิทด้วยทั้งหมดประมาน 13,000 ต่อ/คน ค่ะ ไม่ถูกแต่ก็ไม่แพง ได้ตั๋วแล้วไปจัดกระเป๋ากันได้เลยค่ะมาถึงตรงนี้จะบอกแนวทางการจัดกระเป๋านะคะ เนื่องจากปกติเราเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายค่ะไม่เรื่องมาก แต่ที่อินเดียมันไม่ใช่แบบนั้นเลยค่ะ 55555สิ่งของจำเป็นที่สุดสำหรับเราคืออาหารแห้ง มาม่า ปลากระป๋อง น้ำพริกแห้ง หมูสวรรค์ หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้เรายังชีพได้ อย่าลืมจัดเสื้อผ้าไปให้เหมาะสมกับสภาพอากาศนะคะ ไม่งั้นคุณอาจจะหนาวจนแข็งได้ค่ะ ปกติแล้วเวลานั่งเครื่องบินจะชอบหลับ แต่เที่ยวบินนี้จากเดลี เดินทางมาที่เลห์ ทำให้หลับตาลงไม่ได้จริงๆค่ะ วิวสวยมากแบบกอไก่ล้านตัวเทือกเขาสีขาวทอดตัวยาวไปสุดลูกหูลูกตา "นี่สินะธรรมชาติสรรสร้าง" แนะนำว่าให้เลือกที่นั่งฝั่งซ้ายจะเห็นวิวแบบนี้นะคะ สำหรับเราไม่ได้เลือกที่นั่งมา โชคดี่มากจริงๆ บนเครื่องจะมีแจกของว่างเป็นแซนวิชสไตล์ vegetarian รสชาติไม่ถูกปากเราค่ะ 555 และน้ำผลไม้กล่องที่พอจะช่วยให้บรรเทาอาหารคอแห้งลงได้บ้าง นั่งชมวิวไปพลางๆประมาณชั่วโมงเศษเครื่องบินก็พาเราแตะรันเวย์สนามบินเลห์ สนามบินที่นี่ห้ามถ่ายรูปเนื่องจากเป็นเหมือนสนามบินของทหาร เมื่อออกมานอกเครื่องบินความรู้สึกแรกคือ หนาวมาก หนาวจนคิดว่าเลือดแข็งตัวไปแล้ว เราต้องเดินเข้าสนามบินเข้าแถวเรียงหนึ่งไม่ต่างกับทหาร รู้สึกกดดันเบาๆ รอบสนามบินมีทหารถือปืนกระบอกยาวคุมเชิง จนนึกว่านี่เรามาเที่ยวหรือเปล่า เข้ามาภายในสนามบินก็กรอกใบที่ทำให้รู้ว่าเราเข้าเขตเลห์นะ แบบง่ายๆ ไม่มีเคาร์เตอร์ใดๆทั้งสิ้น เมื่อกรอกเสร็จจะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บรวบรวม เริ่มปวดฉี่...เอาล่ะสิ ต้องเดินหาห้องน้ำแล้ว ห้องน้ำในสนามบินมีแค่สองห้องแบ่งเป็นของชายกับหญิงอย่างละหนึ่งห้อง เราเข้าไปห้องผู้หญิง ได้กลิ่นแบบเครื่องเทศมาเลย เปิดประตูห้องน้ำเข้า ส้วมมีลักษณะเป็นส้วมซึม แต่ค่อนข้างสะอาดสะอ้าน ก็โอเคเราไม่ได้คาดหวังซักเท่าไหร่เพราะทราบกิตตศัพท์ห้องน้ำของอินเดียมาเยอะ ทุกคนต่างทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยเสร็จ เดินออกมาเจอไกด์ของเรา ซึ่งมารับเราด้วยรถประมาณ 9 ที่นั่ง ลุงคนขับหน้าตาใจดี ดูเป็นมิตร แต่ไม่ค่อยพูดจา ลุงดูแลเราอย่างดี อำนวยความสะดวกให้เราทุกด้าน วันแรกเราจะไปเช็คอินโรงแรมกันก่อนโรงแรมที่ไกด์เราได้จัดสรรไว้ให้ "PADMA Leh Hotel" ต้อนรับเราด้วยชากลิ่นเครื่องเทศพร้อมกับคุ้กกี้กลิ่นเครื่องเทศ รสชาติแปลกลิ้น แต่กินแล้วเข้ากันดีอย่างไม่น่าเชื่อ ไกด์ของเราให้เรานอนพักก่อน เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพเพื่อป้องกันโรคแพ้ความสูง"ย้ำว่าต้องนอนพัก ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะถึงตาย นี่ไม่ใช่การล้อเล่น"จากการเดินทางอันเหน็ดเหนื่อยทำให้เราหลับลงอย่างง่ายดาย เราได้มีโอกาสสำรวจห้องพักหลังจากการพักผ่อน ที่นี่มีฮีทเตอร์เครื่องใหญ่ให้ความอบอุ่น ผ้าห่ม1ผืนเป็นเหมือนผ้าห่มขนสัตว์ ซึ่งในครั้งแรกเราคิดว่าหนาวขนาดนี้จะพอเหรอ แต่หลังจากได้ทดสอบแล้ว มันกักเก็บความอบอุ่นได้ดีเยี่ยม สามารถทำให้เหงื่อออกเต็มแผ่นหลังท่ามกลางอากาศที่หนาวยะเยือก"Leh Main Bazaar หรือ ตลาดเมืองเลห์"ตลาดแห่งเดียวบนถนนสายหลักของเลห์ ที่นี่มีผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวและชาวบ้านท้องถิ่น เรามาเยือนตลาดกันตั้งแต่วันแรก เพื่อหาคาเฟ่เล็กๆนั่งจิบกาแฟอุ่นๆ Wifi แรงๆเพื่อติดต่อถึงครอบครัวเราที่ประเทศไทยว่าเรามาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย สำหรับใครที่ซื้อ roamming มาจากประเทศไทยสัญญาณใดๆก็เบาบางค่ะ คาเฟ่ที่นี่ส่วนใหญ่จะมีฮีทเตอร์ในร้านแทบทุกร้าน ถอดเสื้อโค้ท นั่งจิบกาแฟอยุ่ริมกระจกก็ชิลไม่เบาที่ตลาดแห่งนี้มีสินค้าหลากหลาย อุปกรณ์กันหนาวมากมายที่ทำจากขนแคชเมียร์ ของที่ระลึก ร้านหิมาลายาร้านยอดฮิตของคนไทย บนทางเท้าก็มีผักผลไม้ที่ชาวบ้านนำมาขาย ดูสดและน่ากิน เราได้ลองอุดหนุนแอปเปิ้ลคุณยาย ซึ่งปรากฎว่าหวานและกรอบอร่อย ก่อนกลับไปพักที่โรงแรมเราได้เหมาแอปเปิ้ลคุณยายไปอีกหลายกิโลเพื่อเป็นสะเบียงในวันต่อๆไปเราจำชื่อสถานที่ไม่ค่อยได้ แต่เราประทับใจทุกสถานที่ที่ไป ทุกหนทุกแห่งในเลห์จะเต็มไปด้วยธงมนต์ ธงมนต์พาดพ่านขุนเขา หรือแม้แต่บนหลังคาบ้านว่าด้วยเรื่องของธงมนต์ ธงมนต์เป็นสิ่งศักสิทธิ์ในบ้านเขา ซึ่งจะมีบทสวดอยู่บนธงมนต์ ชาวเลห์เชื่อกันว่าถ้าลมพัดผ่านธงมนต์ ลมก็จะพาพรจากบทสวดมนต์นั้นไปให้ผู้อื่นด้วย เพราะฉะนั้นเราพบธงมนต์ได้ทุกที่จริงๆ Khardung La Pass ถนนที่สูงที่สุดในโลกซึ่งสูงถึง 5600 เมตรจากระดับน้ำทะเล เราไต่ระดับความสูงมาเรื่อยๆ หิมะเริ่มโปรยปราย คนขับรถที่นี่เก่งมาก เพราะระหว่างทางมีแต่เหวและทางก็แคบซะจนคิดไม่ออกว่าถ้ามีรถสวนจะหลบยังไง แต่วิวทิวทัศน์ก็ทำให้เราหลงลืมความกลัวไปได้บ้างจนเรามาถึงถนนที่สูงที่สุดในโลก มีป้ายการันตีความสูง ที่นี่หิมะตกเยอะ เมื่อเท้าเราสัมผัสผื้นที่เต็มไปด้วยหิมะก็นึกโทษตัวเองที่เลือกรองเท้าผ้าใบพื้นบางๆมา โอ้โห นึกว่านิ้วเท้าจะหลุดแล้วซะอีก ไม่มีความรู้สึกใดๆที่เท้าอีกเลย เราอยู่ที่นี่ได้ไม่นานเนื่องจากอยู่ในระดับความสูงมากเป็นเวลานานเกินไปจะเกิดอาการโรคแพ้ความสูงได้ กับอากาศที่หนาวเย็นจนปลายนิ้วไร้ความรู้สึกสร้างความทรมานให้เราไม่มากก็น้อยจนสมาชิกต้องชวนกันไปจากที่นี่ ทิวทัศน์ระหว่างทางสวยงามจนละสายตาไม่ได้ นี่ขนาดพึ่งกำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวยังขาวโพลนขนาดนี้ ถ้าเข้าฤดูหนาวเต็มตัวแล้วจะสวยงามขนาดไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การท่องเที่ยวเลห์ในฤดูหนาวค่อนข้างทำได้ยาก เพราะรถไม่สามารถเดินทางได้เนื่องจากหิมะจะตกหนักและสถานที่ส่วนใหญ่ปิดในฤดูหนาว ถนนที่นี่มีเสน่ห์ มีภูเขาสูงชันเป็นฉากหลังNubra valley หลังจากเราผ่าน Khardung La Pass เราก็มาถึง Nubra valley เป็นสถานที่ที่มีทะเลทรายและอูฐ เราจะมีขี่อูฐกัน วันนี้เราจะพักค้างคืนที่นี่ เพราะจากเมืองเลห์ เราได้นั่งรถมายาวนานมากประมาน 6-7 ชั่วโมงเลย นั่งกันจนก้นชาเลยทีเดียว ไหนๆก็มาแล้วก็เลยอยากจะลองขี่อูฐกันซักครั้งไกด์จึงพาเราไปปล่อยที่หนึ่ง ซึ่งมีอูฐเต็มไปหมด เอาหล่ะสิ เห็นอูฐครั้งแรกก็เริ่มใจเสาะซะแล้ว ก็มันตัวสูงใหญ่กว่าที่คิดมาก แถมขนยาวหนาเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นมาก ดูบรรดาน้องอูฐทั้งหลายวิ่งเล่นกันแล้วก็พาลไม่อยากขึ้นซะอย่างนั้น แต่จากการคะยั้นคะยอของเพื่อนฝูง ก็ตัดสินใจ เอาก็เอา เราก็ดีลกับคนที่เขาดูแลอูฐเสร็จสรรพ คนที่จะทำหน้าที่จูงอูฐก็นำเบาะมาวางบนหลังอูฐให้เรานั่ง หลังจากเรานั่งบนหลังน้องอูฐเรียบร้อย คนจูงก็นำเชือกมัดอูฐให้อยู่ด้วยกัน เพื่อที่จะได้เดินไม่แตกฝูงและพาเราเดินวนบริเวณนั้นประมาณ20 นาที คนจูงก็ชั่งรู้งาน ทำหน้าที่ไกด์และตากล้องให้เราพร้อมๆกัน ส่วนไกด์ตัวจริงน่ะเหรอ นั่งรอเราในรถนั่นเอง ขากลับโรงแรม เราได้แวะ Diskit Gompa ซึ่งมีพระองค์ใหญ่ หลังจาก 1 วันใน Nubra Valley เราจะเดินทางไปทะเลสาบปันกอง เราต้องตื่นแต่เช้าเพราะใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง เราจึงต้องพักผ่อนแต่หัวค่ำ ที่โรงแรมได้รวมบริการอาหารเย็นด้วย เชฟโรงแรมคงจะเห็นว่าเราเป็นคนไทยจึงทำอาหารมาให้เป็นกรณีพิเศษนอกเหนือจากอาหารท้องถิ่นที่มีอยู่แล้ว มุมหนึ่งเป็นอาหารท้องถิ่นของอินเดียที่เราดูจากหน้าตาแล้วไม่รู้ว่าคืออะไร มีจานใบใหญ่หน้าตาเหมือนใบไม้ให้สำหรับตักข้าวและกับข้าว ส่วนอาหารของเราเชฟได้ทำมาซาล่าไก่ กินกับแผ่นแป้งจาปาตี ข้าวผัดไข่ และซุปแตงกวาใส่เนื้อไก่รสชาติเผ็ดร้อน กินแล้วคลายหนาวได้ดี อยากจะบอกว่าอาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เรามาอินเดียเลยทีเดียว อ้อ ที่สำคัญวันนี้เราไม่สามารถอาบน้ำได้เพราะที่นี่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น และฮีทเตอร์ จากการลองไปสัมผัสน้ำถึงแม้ว่าจะไม่ได้อาบน้ำก็ขอล้างหน้าแปรงฟันก็ยังดี น้ำที่ไหลมาจากฝักบัวนั้นเหมือนน้ำที่ละลายจากธารน้ำแข็ง มันเย็นจัดจนทำให้มือเป็นสีม่วงเลยทีเดียว และโรงแรมยังนำผ้าห่มมาเพิ่มให้ด้วย เราตื่นกันแต่เช้า เพื่อเดินทางไปทะเลสาปปันกอง ระหว่างทางภูมิประเทศเริ่มเปลี่ยน อากาศน่าจะอุ่นขึ้นเล็กน้อย เริ่มเห็นสัตว์ยืนเล็มหญ้า และที่สำคัญเราได้เจอจามรีระหว่างด้วยPangong Lake หรือทะเลสาบปันกอง ทะเลสาบน้ำเค็มที่สูงที่สุดในโลก เรามีแพลนที่จะค้างคืนที่นี่ 1 คืน แต่ไกด์เกรงว่าสภาพอากาศจะเลวร้ายจึงขอให้เรากลับมาพักที่โรงแรมในเมืองเลห์ดีกว่า เราค่อนข้างจะเสียดายเพราะว่าอยากมาถ่ายรูปทางช้างเผือกที่นี่ แต่เมื่อไปถึง ปรากฏว่าหนาวมากถึงมากที่สุด และลมแรง ร้านค้าส่วนใหญ่ปิดหมด น้ำบางแห่งในทะเลสาปเริ่มเป็นน้ำแข็ง วิวสวยสุดๆเหมือนกับภาพวาดจากจิตรกรจนเราคิดไม่ออกว่ามันจะมีที่ไหนสวยเท่านี้อีกเอาหล่ะสิ ปวดฉี่ อีกแล้วห้องน้ำที่นี่สภาพพอรับได้เนื่องจากคงจะมีนักท่องเที่ยวมาเยอะ เป็นชักโครกประเภทที่ต้องตักน้ำราดเอง ส่วนกลิ่นน่ะเหรอ อย่าไปพูดถึงมันจะดีกว่า ค่าเข้าห้องน้ำที่นี่ 10 รูปี ประมาณ 5 บาทไทย แต่คุณพระ หลังจากที่เข้าไป ต้องตกใจ ถ้าใครปวดหนักนี่แย่เลยจะล้างก้นยังไง น้ำในนี้เป็นเกร็ดน้ำแข็งทั้งหมด ใกล้จะเหมือนสเลอปี้เข้าไปทุกที เป็นประสบการณ์เข้าห้องน้ำที่เย็นก้นที่สุดในชีวิตเลยทีเดียวเราอยู่ที่นี่กันไม่นานนัก ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ชวนกันกลับ นึกย้อนไปถึงตอนที่ดื้อดึงกับไกด์ว่าจะนอนที่นี่แล้วก็ตลกเพราะแค่ 2 ชั่วโมงเราก็หนาวจนเกือบแข็งกันแล้ว โหยหาแต่จะขึ้นรถกันให้ได้เลยขากลับเรากลับอีกทางหนึ่ง ไม่ย้อนกลับทางเดิมเพราะเกรงว่าจะเสียเวลามาก เส้นทางนี้เราจะผ่านถนนที่สูงอันดับสองของโลกซึ่งที่นี่ก็มีหิมะเหมือนเดิม หนาวเหน็บเหมือนเดิม ไกด์บอกเราว่าอาจจะเสี่ยงว่าไปไม่ได้เพราะถ้าหิมะตกจนรถผ่านไม่ได้เราต้องย้อนกลับทางเส้น kardung lapass ทุกคนอธิษฐานขอให้หิมะตกไม่เยอะเพราะเราเริ่มคิดถึงฮีทเตอร์อุ่นๆที่โรงแรมกันแล้ว แล้วคำอธิษฐานนั้นก็ได้ผล หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการนั่งรถอันยาวนาน วันรุ่งขึ้นเราไป Magnetic Hill ซึ่งเราจอดรถไว้เฉยๆจะะเห็นเหมือนกับว่า รถมันไหลขึ้นภูเขาได้เองซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นภาพลวงตา Sangam view point จุดนี้ใครมาเลห์ก็ต้องมา ถ้าไม่มาแล้วเหมือนมาไม่ถึงจุดนี้เป็นการบรรจบกันของแม่น้ำซันสการ์ และแม่น้ำสินธุ สีที่แตกต่างกันของแม่น้ำสองสายเมื่อมาบรรจบกันสร้างความตื่นตาตื่นใจให้เรายิ่งนัก ตรงนี้มีจุดถ่ายรูปน้อยนิด ต้องระมัดระวังเพราะไม่มีรั้วกั้นใดๆ พลาดพลั้งไปอาจจะตกลงไปข้างล่างได้สุดท้ายแล้วต้องขอบคุณรถคันนี้และลุงขับรถใจดีที่พาเราไปทุกหนทุกแห่งในเลห์ นอกจากวิวที่สวยแล้วที่ประทับใจที่่สุดคงจะเป็นผู้คนที่นี่ที่เป็นมิตรกับเรามากๆ ใครที่กล้าๆกลัวๆว่าจะไปเที่ยวอินเดียจะเวิร์คมั้ย จะโดนแขกหลอกหรือเปล่า จะแพ้ความสูงมั้ย อยากให้ออกไปลองซักครั้งค่ะแล้ว "เลห์" จะทำให้คุณคิดถึงจนอยากกลับไปอีกครั้งให้ได้เลยค่ะสำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ ครั้งหน้าจะไปเที่ยวที่ไหนฝากติดตามกันด้วยนะคะ เครดิตภาพโดย:ผู้เขียน