วันนี้มาแชร์ประสบการณ์การตกเครื่องที่สนามบินซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่กำลังจะเดินทางแล้วกลัวต่อเครื่องไม่ทันแบบเราขอเกริ่นก่อนว่านี่ไม่ใช่การตกเครื่องครั้งแรกของเรา ก่อนหน้านี้เราเคยต่อเครื่องไม่ทันแล้ว แต่เป็นสายการบินอื่นที่บินไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินนึงในประเทศฟินแลนด์เอาละค่ะมาต่อกันจากบทความที่เรารีวิวเกี่ยวกับสายการบิน Swiss นะคะ หลังจากที่เรารู้ตัวว่าต่อเครื่องไม่ทันแน่ๆ เมื่อเราผ่านจุด Security Check ของสนามบิน เราก็นั่งรถไฟไปอีก Terminal เพื่อเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง (Immigration) ของสนามบินซูริคก่อนยื่น Passport และเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเดินทางของเรา เราก็ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ไปว่าเราตกเครื่องต้องรีบไปเปลี่ยนไฟล์ทบินใหม่ที่ Transfer Desk หลังจากเจ้าหน้าที่แสตมป์ขาเข้าในเล่ม Passport แล้ว ก็บอกทางเพื่อไปยัง Gate A/B ว่าเธอต้องเดินไปขึ้นลิฟท์ด้านหลังฉันนะ แล้วกดลิฟท์ขึ้นไปชั้นข้างบน หลังจากนั้นเธอก็มองหาป้ายว่า Transfer Desk ไปทางไหน ที่นั่นจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการเธออยู่ด้วยความเป็นห่วงนางก็หันมาถามอีกว่าเธอเข้าใจใช่ไหม เราก็พยักหน้าตอบกลับไปว่าเข้าใจแหละ จะพยายามไปให้ถูกตามที่เธอบอก (เดินทางคนเดียวก็จะวุ่นวายกับการถามทางคนนั้นทีคนนี้ที 555+++) เมื่อเดินเข้าไปภายในระหว่าง Gate : A/B จะมีจุดบริการเคาน์เตอร์ของแต่ละสายการบินรอให้บริการอยู่ ตามภาพที่เราถ่ายด้านบนเป็น Transfer Desk A (ภาพนี้เราถ่ายตอนเช้าของอีกวันเลยไม่มีพนักงาน) เนื่องจากเราบินถึงตอนกลางคืน พนักงานในเคาน์เตอร์ก็จะมีไม่กี่คนพอถึงคิวพนักงานก็เรียกเราเข้าไป เราเลยยื่น Boarding Pass ทั้งหมด และ Passport ให้กับพนักงาน บทสนทนาระหว่างเรากับพนักงานก็เกิดขึ้น พนักงาน : (เห็นหน้าเราเครียดๆ เลยพูดหยอก) เนี่ย! เธอเป็นคนไทยคนแรกเลยนะ ที่ฉันไม่สามารถหาไฟล์ทบินไปมิวนิคให้เธอในคืนนี้ได้ คนอื่นเค้าได้ตั๋วไฟล์ทใหม่ไปหมดแล้ว เรา : (แซวกลับ) จริงหรอ! เศร้าจัง แล้วฉันจะทำยังไงต่อละเนี่ย ฉันอยากเดินทางให้ถึงมิวนิคภายในคืนนี้ พนักงาน : (ยิ้มระหว่างออกเอกสารให้) ฉันสามารถหาไฟล์ทเดินทางให้เธอเร็วสุดได้ คืนนี้เธอก็พักโรงแรมใกล้ๆ สนามบินไปก่อน 1 คืนนะ เรา : ฉันเศร้ามาก!!! แล้วฉันต้องจ่ายค่าโรงแรมเองไหม พนักงาน : ไม่ๆ สำหรับเธอ ทุกอย่างฟรีหมด พุ่นน่ะ! แล้วนางก็ยื่นเอกสารการจองโรงแรมให้ 1 แผ่น + Boarding Pass อันเก่าและอันใหม่ + เล่ม Passport คืน พร้อมกับอธิบายรายละเอียดและเส้นทางการไปโรงแรม เรา : ขอบคุณมากนร๊า เนี่ย! ถ้าไม่ได้เธอฉันคงแย่ ใครที่อยากได้ข้อเสนอมากกว่านี้ ก่อนจะทำการรับข้อเสนอของสายการบินที่มอบให้ แนะนำให้คุยกับพนักงานไปก่อนที่จะรับข้อเสนอนะคะ ส่วนตัวเราเหนื่อยจากการเดินทาง เราเลยไม่อยากอะไรเยอะ อีกอย่างข้อเสนอที่สายการบินมอบให้เรานั้น เราก็ค่อนข้างพอใจกับข้อเสนอโรงแรมที่สายการบินเสนอให้เข้าพักนี้ มีชื่อว่า Hyatt regency zurich airport the circle เช็คราคาบนหน้าเว็บไซต์สำหรับเข้า 1 คืน ราคาก็ค่อนข้างแพงอยู่เหมือนกันหลังจากเดินถามทางทั้งพนักงานในสนามบินและคนขับรถตู้หน้าสนามบินเพื่อที่จะเดินไปโรงแรม เนื่องด้วยเป็นเวลากลางคืนเลยค่อนข้างลำบากที่จะหาโรงแรมได้ง่ายๆ ใช้เวลาสักพักก็หาโรงแรมเจอ (ขอขอบคุณทุกคนที่เราเข้าไปถามเส้นทาง แม้บางคนจะสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ก็พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่)เมื่อ Check In เสร็จ ก็ได้คีย์การ์ดและ Voucher สำหรับทานอาหารค่ำ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการนั่งเครื่อง 12 ชั่วโมง เลยทำให้ไม่อยากลงไปทานอาหารก่อนขึ้นห้องพนักงานก็จะถามว่าเรามีแปรงและยาสีฟันติดตัวมาไหม ถ้าไม่มีทางโรงแรมมีเตรียมไว้ให้นะ ลงมาเอาที่เคาน์เตอร์ได้ตลอดเห็นบรรยากาศและเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องของโรงแรมแล้ว ยิ่งประทับใจในการบริการและการเอาใจใส่ของสายการบิน Swiss มากๆ ส่งให้แฟนดูแฟนยังบอกว่าข้อเสนอที่ได้รับจากสายการบินนั้น เค้าเลือกโรงแรมให้ดีมากๆ โชคดีที่เราเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวและของใช้บางส่วนไว้ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง แล้วก็โชคดีที่ก่อนขึ้นเครื่องทางสายการบินประกาศให้ผู้โดยสารสามารถเอากระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่องไปโหลดใต้เครื่องแบบไม่คิดเงินได้ ตอนนั้นเราก็ชั่งจิตชั่งใจอยู่ว่าจะโหลดดีไหม แต่ดีที่ไม่เอาไปโหลดเพิ่ม ไม่งั้นต้องได้ใส่เสื้อผ้าตัวเดิมถึงเวลาอาบน้ำเตรียมตัวพักผ่อนพรุ่งนี้มีบินไฟล์ทตั้งแต่เช้าเลย วันนั้นก็นอนหลับๆ ตื่นๆ ด้วยความที่ยัง Jet lag อยู่ด้วยแหละมั่ง เลยทำให้นอนไม่ค่อยหลับหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็ลงมาทานอาหารเช้าของโรงแรม ที่นี่มีพนักงานต้อนรับคอยให้บริการ 24 ชม. เราลงมาทานอาหารเช้าประมาณตี 4 กว่าๆ ทานเสร็จก็ Check Out และเดินทางไปสนามบินเพื่อรอขึ้นเครื่องเรามี Boarding Pass ของไฟล์ทบินแล้ว เราจึงไม่จำเป็นต้องไปติดต่อเคาน์เตอร์เช็คอิน แต่เนื่องจากโรงแรมที่เราพักอยู่บริเวณด้านนอกของสนามบิน ตอนเข้า Gate เราเลยต้องผ่าน Security Checkผ่าน Security Check เรียบร้อย เราก็เดินไปเช็คหน้าจอมอนิเตอร์ของสนามบินว่า Gate ที่เราต้องไปรอขึ้นเครื่อง อยู่ Gate ที่เท่าไหร่ ตอนนั้น Gate ยังไม่ออกเพราะเราไปก่อนเวลาตั้ง 1 ชั่วโมง 555++ พอถึงเวลา Gate Number ออก เราก็เดินตรงไปที่ Gate : A51 ใช้เวลาเดินไม่ถึง 5 นาที จากจุด Transfer Desk A ก็ถึง ในระหว่างนั้นผู้โดยสารก็ทยอยมาถึง Gate ก่อนขึ้นเครื่องก็จะมีพนักงานเดินชั่งน้ำหนักกระเป๋าว่าเกิน 8 กก. หรือเปล่าไฟล์ทนี้บินร่วมกับสายการบิน Helvetic airways นะคะ ใช้เวลาในการบินถึงมิวนิคก็ประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อถึงมิวนิคก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก รอรับกระเป๋าและเดินออกมาจากสนามบินก็เจอแฟนมารอรับ สำหรับรีวิวการตกเครื่องที่สนามบินซูริคก็จบเพียงเท่านี้ เราหวังว่ารีวิวการตกเครื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่กำลังหาข้อมูลไม่มากก็น้อย การบริการของสายการบิน Swiss นั้นได้ลบความทรงจำของการตกเครื่องครั้งแรกของเราไปเลย ถ้านโยบายการเอาใจใส่ต่อผู้โดยสารและการบริการของพนักงานดี ต่อให้เราเจอประสบการณ์แย่ๆ ระหว่างการเดิน ยังไงก็อยากใช้บริการอีก เราก็เป็นอีกหนึ่งผู้โดยสารที่อยากจะบอกกับทางสายการบินว่า "ถ้ามีโอกาสใช้บริการอีกครั้ง เราก็อยากเลือกจองตั๋วของสายการบินนี้อีก"หลังจากเกิดเหตุการณ์การพลาดต่อเที่ยวบินนี้ เราก็จะต้องเช็คกับประกันที่เราซื้อไว้ตอนยื่นวีซ่าจะครอบคลุมการพลาดต่อเที่ยวบินหรือเปล่า และสามารถยื่นเคลมกับทางประกันได้หรือเปล่า #รีวิวการตกเครื่องที่สนามบินซูริค #รีวิวการเปลี่ยนเครื่องที่ซูริค #Swissair #รีวิวสายการบิน #รีวิวผู้โดยสารของSwissair #เปลี่ยนเครื่อง55นาทีที่สนามบินซูริค เครดิตภาพหน้าปกและรูปภาพ : รีวิวอีหยั๋งดีภาพกราฟฟิก : Canvaเรียบเรียงบทความ : รีวิวอีหยั๋งดีเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !