เครดิตภาพจากผู้เขียน (ดร.อาบแสงจันทร์ ต.) วัดท่าตอนเป็นวัดพระอารามหลวงที่สวยงามเหมือนแดนสวรรค์ จริง ๆ ขอบอก....สวัสดีครับนักเที่ยวสายบุญทั้งหลายวันนี้ผู้เขียนขอนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่สวยงามมาก ๆ (เติมไม้ซ้ำคำไปร้อยตัว) สถานที่ที่ว่าสวยเหมือแดนสวรรค์แห่งนี้คือ “วัดท่าตอน” ครับ วัดท่าตอนเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญโดยได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นวัดพระอารามหลวงเมื่อ ปีพ.ศ.2534 โดยวัดตั้งอยู่บนยอดเขาที่มีแนวเขตต่อเนื่องกันไปหลายลูกเนื้อที่โดยประมาณก็น่าจะเกือบห้าร้อยไร่ได้ เพราะพื้นที่โดยรอบกว้างมากมีป่าไม้ปกคลุมร่มรื่น และสวยงามมากปัจจุบันมีพระเดชพระคุณพระเทพมังคลาจารย์ เป็นเจ้าอาวาส เครดิตภาพ จากผู้เขียน (ดร.อาบแสงจันทร์ ต.) การเที่ยวชมวัดท่าตอนนี้จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 9 ชั้นด้วยกัน แต่ละชั้นจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางต่าง ๆ และบางชั้นก็มีศาสนสถานที่สำคัญให้นักท่องเที่ยวได้เข้าเยี่ยมชมได้อีกด้วย แต่ผู้เขียนขอนำเสนอชั้นที่เป็นไฮไลท์ที่สุด และสวยงานที่สุด (สำหรับผู้เขียน) ได้แก่ ชั้นที่ 8 และชั้นที่ 9 ซึ่งชั้นที่ 8 จะมีพระเจดีย์แก้วตั้งประดิษฐานอยู่ภายในจะแบ่งออกเป็น 3 ชั้นโดยได้สร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชย์เป็นปีที่ 50 โดยนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปในองค์พระเจดีย์แก้วได้โดยแต่ละชั้นจะแบ่งออกดังนี้ เครดิตภาพ จากผู้เขียน (ดร.อาบแสงจันทร์ ต.) ชั้นที่ 1 จัดแสดงพระพุทธรูปบางต่าง ๆ ทั้งของไทยและของต่างประเทศ และมีห้องแสดงหุ่นจำลองพระเกจิอาจารย์ดัง ๆ อีกหลายองค์ ชั้นที่ 2 ขึ้นไปตามบันไดมังกรจะเป็นชั้นที่จัดแสดงถึงองค์พระธาตุประจำปีเกิด และโบราณวัตถุที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาจัดแสดงไว้ให้ชม ชั้นที่ 3 เป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์แก้ว บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ และด้านนอกยังมีพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ประดิษฐานตั้งไว้ให้สักการบูชาอีกด้วย ระเบียงด้านนอกของพระเจดีย์แก้วนักท่องเที่ยวสามารถออกมายืนชมทัศนียภาพของหมู่บ้าน ภูเขา แม่น้ำกก ได้อย่างชัดเจน เครดิตภาพ จากผู้เขียน (ดร.อาบแสงจันทร์ ต.) ไฮไลท์อีกชั้นหนึ่ง คือ ชั้นที่ 9 จะมีพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร (พระประจำวันพุธ) องค์สีทองสูงตระหง่านเป็นสง่าตั้งอยู่และบริเวณด้านข้างจะมีบันไดสะพานเหล็กที่ทางวัดสร้างขึ้นเลาะเลี้ยวไปตามแนวป่าเพื่อเดินทะลุไปยังแม่น้ำกก โดยสะพานจะบรรจบลงที่เรือสำเภาทองที่ทางวัดสร้างขึ้น เครดิตภาพ จากผู้เขียน (ดร.อาบแสงจันทร์ ต.) สำหรับหากนักท่องเที่ยวท่านใดเดินทางมาเยี่ยมชมท่านสามารถศึกษาข้อมูลแต่ละชั้นได้มีดังนี้ ชั้นที่ 1 จะมีพระธาตุจอมดีคีรีศรีปิงขอก และเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่เป็นชั้นแรก และจะมีสำนักเรียนสำหรับพระภิกษุสามเณรได้ศึกษาพระปริยัติธรรม (สามัญศึกษา และบาลี) อยู่ในชั้นที่ 1 นี้ด้วย ชั้นที่ 2 จะมีองค์พระพุทธรูปพุทธนิรันดรชัย (ผู้มีชัยชนะเป็นนิรันดร) และรูปปั้นพระมหากัจจายน์ (ขอพรความอิ่มเอิม ร่ำรวย ) ประดิษฐานอยู่ ชั้นที่ 3 พระอุโบสถสำหรับประกอบสังฆกรรมพิธีต่าง ๆ ชั้นที่ 4 จะมีพระประจำท่านที่เกิดวันเสาร์ประดิษฐานอยู่ คือ พระนาคปกองค์สีทองใหญ่มาก (ชั้นนี้ผู้เขียนแวะกราบขอพรเพราะเป็นพระประจำวันเกิดของผู้เขียนเอง) ชั้นที่ 5 จะมีพระวิหาร และกุฏิสำหรับผู้ปฏิบัติกรรมฐาน (มีผู้มาปฏิบัติธรรมพักอยู่เพื่อมาปฏิบัติธรรม) ชั้นที่ 6-7 กุฏิที่พักสงฆ์ ชั้นที่ 8 พระเจดีย์แก้ว (สวยมาก) ใครมาแล้วต้องขึ้นมาชั้นนี้ให้ได้ และบริเวณใกล้ ๆ กันในชั้นนี้จะมีรูปปั้นมังกรสีขาวเงินตัวใหญ่ขดอยู่สวยงามมากเมื่อเกร็ดไปกระทบกับแสงแดด (มีแสดงแวววาว) ชั้นที่ 9 เป็นชั้นสุดท้ายจะมีพระปางอุ้มบาตร (พระอิ่มตลอดกาล) ประดิษฐานอยู่ และมีกุฏิสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ตั้งอยู่ มีบันไดเหล็ก (เดินชมธรรมชาติ) เลาะเลี้ยวเพื่อไปหาเรือสำเภาทองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำกก เครดิตภาพ จากผู้เขียน (ดร.อาบแสงจันทร์ ต.) เป็นไงหละครับนี้แค่น้ำจิ้มแค่นั้น....หากสนใจจริง ๆ เชิญแวะเที่ยว แวะทำบุญได้ครับ สำหรับการเดินทางหากเริ่มต้นจากตัวจังหวัดเชียงใหม่จะเริ่มเดินทางจากถนนหมายเลข 107 ถนนสายเชียงใหม่แม่อาย ประมาณ 173 ทางเข้าวัดจะอยู่ซ้ายมือครับหาไม่ยากจะมีจุดสังเกตคือมีป้ายบอกทางเข้าวัดติดถนนแต่หากท่านไดไม่มีรถส่วนตัวท่านสามารถโดยสารรถบัสสายเชียงใหม่-แม่อายได้เลยครับ อัตราค่าบริการรถบัสปรับอากาศท่านละ 153 บาท รถบัสพัดลมท่านละ 106 บาทครับ .....มาครับมาเลยรออยู่น้า......