สายตาของผมเหม่อมองไปยังเวิ้งฟ้าที่กว้างเป็นฉากหลังไกลสุดลูกหูลูกตา เทือกเขาใหญ่กางกั้นเส้นขอบฟ้า ที่ที่ดวงอาทิตย์กำลังค่อยๆคล้อยต่ำลง เบื้องล่างเป็นเรือกสวน ไร่นา และหมู่บ้าน ของอำเภอวังน้ำเขียว มองเห็นรถราที่วิ่งกันบนถนนเส้น 304 ที่บัดนี้ มองดูไกลๆแล้ว เหมือนเป็นภาพของมดขนไข่เสียมากกว่า ลมพัดเอื่อยเฉื่อย ต้นไม้ไหวเอน ปักษาส่งเสียงเจื้อยแจ้ว จ้อกแจ้กจอแจ ใต้คาคบไม้ต้นไทร ที่ยืนเดียวดายริมหน้าผาแห่งนี้......... "ผารักษ์สลัดได" "ทำไมคนเราถึงชอบเที่ยวหน้าผา?" ผมถามคำถามขึ้นมาลอยๆ ระหว่างที่นั่งเสพบรรยกาศ เราทั้งคู่นั่งชันขาซบอิงกันและกันอยู่ริมหน้าผาสูงชัน ที่ตัดแบบ 90 องศา อย่างไม่รู้สึกหวาดเสียว ผิดกับลักษณะที่น่ากลัวของริมหน้าผา เรียกว่า ถ้าร่วงลงไป ก็ไม่ต้องถามหาชีวิต..... "คงเป็นเพราะ คนเราอยากยิ่งใหญ่ละมั้ง... มองจากบนนี้ ทุกอย่างข้างล่างมันดูเล็กไปหมด" เธอ....ผู้เป็นคู่ชีวิต ผ่านทุกข์สุขมาด้วยกัน เอ่ยเอื้อนคำตอบนั้นอย่างจรังจัง ลมบนเขาพัดมาอีกแล้ว เราหอบหายใจอย่างอึดอัด มันอาจเป็นเพราะยิ่งสูง อากาศยิ่งเบาบาง นั่นคือสาเหตุ ที่ทำให้เราอึดอัด และเสียวไส้ ตลอดเวลาที่อยู่ริมหน้าผา ผารักษ์สลัดไดแห่งนี้ เป็นหน้าผาหินทรายแห้งแล้ง ที่มีความสูงจากระดับพื้นดินถึง 700 เมตร เราขับรถตามถนนเส้น 304 มาเรื่อยๆ ก็เห็นทางเข้าอยู่ทางซ้ายมือ มีเพียงป้ายบอกทางเล็กๆ บนถนนแคบๆที่เรียกได้ว่าเป็นถนนเลนเดียว หากรถยนต์วิ่งสวนกันยิ่งต้องใช้ความระมัดระวัง ถนนเล็กๆที่พาเราขึ้นไปยังหน้าผา ก็สูงและชันไม่ได้แพ้หน้าผาเลยทีเดียว การเดินทางขึ้นไปยังหน้าผาแห่งนี้จึงจำเป็นต้องใช้เกียร์ต่ำ เพื่อให้รถมีกำลัง ดึงตัวของมันเองขึ้นไปสู่ด้านบนได้สำเร็จ ระหว่างทาง ยังต้องระวังรถที่อาจจะวิ่งลงเขาสวนลงมา ซึ่งหากไม่ระวังแล้ว อาจเกิดอันตรายขึ้นได้ ใช้เวลาไม่นานนัก จุดหมายก็อยู่ทางขวามือ ความร้อนระอุจากช่วงเวลาบ่ายคล้อย ทำให้บรรยากาศสถานที่แห่งนี้ ยิ่งร้อนและแห้งแล้งราวกับทะเลทราย เรามองหาร่มหลบแดด เพื่อรอเวลา ที่จะได้ชมพระอาทิตย์ตกดิน บนหน้าผาแห่งนี้.... อันที่จริง ว่ากันว่าหน้าผาแห่งนี้ จะสวยงามมากในช่วงฤดูปลายฝนต้นหนาว โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช้าๆ เราอาจจะได้ชื่นชมทะเลหมอก พร้อมๆกับชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ที่นี่ แต่สำหรับเรา ในช่วงปลายฤดูหนาว ย่างเข้าฤดูร้อน เราอยากจะเห็นพระอาทิตย์ตกดินเสียมากกว่า เพราะจะว่าไป การได้ชมพระอาทิตย์ตกดินที่ผารักษ์สลัดได ก็สวยไม่แพ้กัน ด้านบนนี้มี 'ต้นสลัดได' ต้นไม้ที่เป็นที่มาของหน้าผาแห่งนี้ ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก หน้าตามันจะคล้ายๆต้นกระบองเพรช แต่ลำต้นหนาและใหญ่กว่ามาก บ่งบอกได้เลยว่าที่นี่ ริมหน้าผาแห่งนี้ จะแห้งแล้งเพียงใด เพราะพืชชนิดเดียวที่พอจะขึ้นได้ คือต้นสลัดได พืชลำต้นอวบน้ำซึ่งเป็นเผ่าพันธ์เดียวกับกระบองเพชร ว่ากันว่าต้นสลัดไดนี้ มันเอาไปทำยาได้ แต่ก็ต้องระวังมันให้มากเช่นเดียวกัน เพราะยางของมัน มีฤทธิ์กัดกร่อน ถึงขั้นสามารถกัดผิวหนังได้เลยเมื่อได้สัมผัสยางของมัน ต้นไทรริมหน้าผา ลูกของมันร่วงหล่นลงพื้นเต็มไปหมด บางลูกยังสุกแดง อยู่คาต้นของมัน นั่นเป็นสิ่ง ที่ดึงดูดพวกมัน เสียงเจื้อยแจ้วของนกหลากหลายสายพันธ์ เป็นสิ่งที่เดียวที่เราจะได้ยิน นอกไปเสียจากความเงียบสงบบนหน้าผาสูงชันแห่งนี้ นกพญาไฟใหญ่ เจ้านกสายพันธ์นี้ มีสีแดงที่ลำตัวและปีก เป็นนกประจำถิ่นที่นี่ เรารู้สึกประหลาดใจมากๆ เพราะไม่เคยเห็นนกตามธรรมชาติที่มีสีสันสวยงามเช่นนี้ นกปรอทเหลืองหัวจุก ลำตัวสีเหลือง มีหัวจุก มันเป็นนกอีกชนิดหนึ่งที่เราสามารถพบเห็นได้ที่ริมหน้าผาแห่งนี้ เสียงของมันไพเราะเจื้อยแจ้ว "วิด วิด ตี้ วิด" ซึ่งเป็นเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมัน ผารักษ์สลัดได จึงเหมาะกับนักดูนก ที่ต้องการศึกษานกป่าสวยๆ หลากหลายสายพันธ์ เพราะป่าด้านบนแห่งนี้ ยังค่อนข้างไม่ถูกรบกวนมากนัก และยังเป็นแหล่งอาศัยของนกนาๆชนิด ใช่ว่าที่นี่จะแห้งแล้งไปซะทีเดียว พวกพืชล้มลุก ประเภทสาบเสือ หรือหญ้าต่างๆ ก็ขึ้นกันประปราย แต่ถ้าจะพูดถึงไม้ยืนต้น ก็มีต้นไม้อยู่หลายต้น โดยเฉพาะต้นไม้ริมหน้าผา ที่ฟอร์มของมัน สวยเหมือนต้นบอนไซ ถือเป็นมุมมหาชน ที่ใครมา ก็จะต้องถ่ายรูปกันที่มุมนี้เป็นประจำ เราเฝ้ารอแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆคล้อยต่ำลงยังเบื้องล่าง ตามช่วงเวลาใกล้ค่ำรัตติกาล ที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามา แต่ทว่าเมฆหมอกบนฟ้า ไม่ได้เป็นใจมากนัก เจ้าดวงอาทิตย์สีแดงกลมโตขี้อาย จึงซ่อนกายอยู่หลังม่านหมอกควัน ของรถราที่วิ่งกันกลับบ้าน กรุงเทพมหานคร บนถนนเส้น 304 ที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง จนกระทั่งมันลับขอบฟ้าไปพร้อมความว่างเปล่า แต่แม้มันจะไม่ได้ภาพอย่างที่หวังเอาไว้เท่าไหร่นัก เราก็สามารถมองเห็นอำเภอวังน้ำเขียวทั้งอำเภอ ได้จากผารักษ์สลัดไดแห่งนี้ การได้มองบางสิ่งบางอย่างลงมาจากที่สูง ได้มองเห็นถนนหนทาง บ้านเรือน กว้างไกล และสิ่งเหล่านั้น ช่างเล็กจ้อยเหลือเกินเมื่อมองจากมุมนี้ มันทำให้เรารู้ว่า บางครั้ง เรื่องของเรา ก็เป็นเพียงแค่ เรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่ง.... เมื่อเรามองเห็นปัญหา จากมุมที่เราอยู่เหนือกว่า ปัญหาที่เราเผชิญอยู่ อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง.... เรื่อง : จิรวัสส์ สุทธิพิทยศักดิ์ ภาพ : จิรวัสส์ สุทธิพิทยศักดิ์