สวัสดีครับวันนี้ผมจะพามาเที่ยวกรุงจาร์กาตา เมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซีย ในเวลาเพียงแค่ 72 ชั่วโมง เรื่องราวจะเป็นยังไงจะเป็นเมืองแห่งรถติดแต่ก็ติดใจหรือไม่ เชิญติดตามอ่านกันได้ที่บทความนี้เลยครับ การเดินทางในครั้งนี้ผมเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบิน QZ-251 ไฟท์ 11: 20 น. เพียงสามชั่วโมงจากกรุงเทพมหานครก็มาถึงท่าอากาศยานซูการ์โน-ฮัตตา ผมเข้าเมืองโดยวิธีเรียก Grab สนามบินค่อนข้างไกลจากตัวเมืองเลยครับ และอีกอย่างด้วยความที่ประเทศอินโดนีเซียมีประชากรมากที่สุดในอาเซียน ซึ่งส่งผลให้กรุงจาร์กาตารถค่อนข้างติดมากใช้เวลาเป็นชั่วโมงเลยครับกว่าจะถึงโรงแรม เมื่อมาถึงโรงแรม I Corner Residence ซึ่งเป็นที่พักแถวย่านห้าง Grand Indonesia ตกคืนละ 427 บาท ก็เข้าเช็คอินกันก่อนเลยครับ เมื่อเช็คอินเสร็จผมจึงออกมาทานอาหารท้องถิ่นแถวที่พัก มื้อแรกในจาร์กาตาของผมคือ Nasi Goreng หรือข้าวผัดไก่นั่นเองครับ ราคาจานละ 35 บาทเท่านั้น โดยที่อินโดนีเซียอาหารส่วนใหญ่มักจะมีข้าวเกรียบเป็นท็อปปิ้งให้ตักได้ไม่อั้นเลยครับ หลังจากนั้นจึงถึงเวลาพักผ่อนเพื่อลุยในวันต่อไป เช้าวันต่อมาผมจึงเริ่มเที่ยวที่แรกด้วยการไปอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของจาร์กาตานั่นก็คือ Monas หรืออนุสาวรีย์แห่งชาติ โดยบริเวณนี้คืออนุสรณ์สถานที่อินโดนีเซียสร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงการได้รับเอกราชจากฮอลแลนด์ ข้างบนเป็นจุดชมวิวที่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมได้ โดยสามารถเรียก Grab จากโรงแรมในย่าน Grand Indonesia ได้เลยครับ หลังจากนั้นเดินจาก Monas มาไม่ไกลก็ถึงมัสยิดแห่งชาติของกรุงจาร์กาตา เป็นมัสยิดที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซียรวมถึงในอาเซียน ซึ่งคาดว่าสามารถบรรจุคนที่มาประกอบพิธีทางศาสนาได้ถึง 100,000 คน เลยครับ เมื่อข้ามถนนจากมัสยิดก็เป็นโบสถ์คริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในจาร์กาตา โดยตั้งอยู่ตรงข้ามมัสยิดเลยครับ หลังจากนั้นจึงเรียก Grab จากตรงโบสถ์ไปยังเมืองเก่า Kota tua ซึ่งบริเวณนี้มีจุดศูนย์กลางคือ Dutch Square ซึ่งสร้างคล้ายกับที่ประเทศเนเธอร์แลนด์เลยครับ มีบริเวณจัดกิจกรรมให้ชาวจาร์กาตามาปั่นจักรยานกันในวันหยุด เมื่อเสร็จจากการชมเมืองเก่า ผมจึงนั่งรถ Grab ไปยังสนามกีฬาแห่งชาติเสนายัน ซึ่งเป็นสนามเหย้าของฟุตบอลทีมชาติอินโดนีเซีย เนื่องจากผมเป็นคนชอบฟุตบอล ผมก็อยากไปเห็นสนามกีฬาที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่เกือบที่สุดในอาเซียนเป็นรองแค่ที่มาเลเซียที่เดียว หลังจากนั้นจึงกลับโรงแรมละไปทานอาหารเย็นเป็นอาหารท้องถิ่นนั่นก็คือ Soto Ayam เป็นเหมือนก๊วยเตี๋ยวซุปไก่ โดยน้ำซุปจะรสเปรี้ยว ไม่ค่อยถูกปากผมเท่าไหร่ครับ เช้าอีกวันผมจึงเดินทางไปที่ Taman Mini มันคือสถานที่คล้ายกับเมืองโบราณ สมุทรปราการ แต่นี่เป็นของอินโดนีเซีย คือจะรวบรวมทุกสถานที่ท่องเที่ยว อาคารสถาปัตยกรรมสไตล์อินโดนีเซียในทุกเกาะมาไว้ที่นี่ที่เดียว เนื่องจากอินโดนีเซียมีเป็นหมื่นเกาะการที่จะเที่ยวให้ครบทุกที่คงใช้เวลาเป็นปีฮ่าๆ การเดินทางไปจากตัวเมืองต้องใช้ Grab เท่านั้น หลังจากนั้นจึงนั่ง Grab กลับเข้ามาในเมืองไปยัง Sunda Kelapa บริเวณนี้เปรียบเสมือนท่าเรือคลองเตยในประเทศไทย สร้างขึ้นโดยชาวดัตซ์ เอกลักษณ์ของที่นี่คือเรือที่จอดริมฝั่งกันเยอะมากจนดูสวยงาม เมื่อเสร็จแล้วผมจึงเดินทางกลับที่พักสำหรับคืนสุดท้าย แต่ก่อนจะพักผ่อนก็ได้ไปรับประทานสะเต๊ะเนื้อ ซึ่งเป็นอาหารท้องถิ่นชื่อดังของจาร์กาตาเช่นกันครับ เช้าวันต่อมาผมตื่นมาในสภาพที่ฝนตกหนักมาก จึงทำให้ต้องรอเวลาเรียก Grab ไปสนามบินอย่างเดียว โดยเดินทางกลับด้วยสายการบินแอร์เอเชียเที่ยวบิน QZ-256 เป็นการปิดทริปในวันสุดท้ายที่กร่อยนิดๆ😭 สรุปงบประมาณ ค่าเครื่องบินไป-กลับ 3,120 บาท ค่าโรงแรม 3 คืน 639 บาท ค่าอาหาร-ค่าเดินทาง 3,000 บาท รวมทั้งหมด 6,759 บาท สำหรับผมแล้วเวลาเพียงแค่ 72 ชั่วโมงก็สามารถพาผมมาพบเห็นอะไรใหม่ๆ ได้ทั้งวัฒนธรรม ภาษา อาหาร จาร์กาตาสำหรับผมนั้นเป็นเมืองที่น่ารักครับ แต่ก็น่าเสียดายครับที่เมื่อเวลาคนพูดถึงประเทศอินโดนีเซียก็จะมีแต่ บาหลี โบรโม่ บุโรพุทโธ ฯลฯ ซึ่งผมก็มองว่าจาร์กาตานั้นมีดีมากกว่าเป็นแค่เมืองที่ผ่านสำหรับการต่อเครื่องไปยังเมืองที่ว่านั้นครับ ซึ่งไม่ค่อยมีคนให้โอกาสจาร์กาตาเท่าไหร่ครับสำหรับการท่องเที่ยว ถึงแม้ว่าจะรถติดไปนิด แต่ก็ทำให้ผมติดใจครับ ผมขอปิดท้ายบทความนี้ด้วยรูปของการจราจรในกรุงจาร์กาตา เมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซียครับ