ปิล็อก อ๋อที่เมืองกาญนี่ หลายคนคุ้นชื่อนี้อยู่แล้ว แต่จะมีกี่คนหล่ะที่เข้าใจและสัมผัสอย่างแท้จริง แน่นอนว่าทุกวันนี้คนเบื่อเมืองมากมาย เพียงแค่วันหยุดที่น้อยนิด มนุษย์เราก็ถวิลหาความสุขจากการลาจากเมืองอันวุ่นวาย คิดถึงเขาบ้าง โดนเทลงทะเลบ้างหล่ะ ผมอีกคนที่คิดถึงเขา เขาที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นมากับเขาในตวามทรงจำ (สีจาง ๆ ) ย้อนกลับไปเมื่อวันที่สวยงาม (มันยังสวยงามเช่นเดิม) ราตรีของค่ำคืนหนึ่ง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เบื่อจัง เสียงแรกจากปลายสาย ต้นทางที่รับตอบแล้วไง เสียงแผ่วเบาดั่งมีความเกรงใจเล็กน้อยพูดผ่านเสียงไมโครโฟน ไปเที่ยวกันไหม แล้วอยากไปไหน ไม่รู้ซิ ไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ไหนก็ได้แต่ขอให้มีภูเขาได้ไหมอ่ะ แบบค่อย ๆ โผล่ขึ้นมา แหม่ะยังมีข้อแม้อีก โห...งั้นต้องไปตอนนี้อ่ะดิ เดี๋ยวไปรับแล้วกัน ที่ไหนค่อยเลือกอีกที อึดใจรัก...ผมก็ไปรับเธอ ช่วงนาทีที่ถึงกันผมมีจุดหมายใจใจหล่ะ นครปฐมถึงบ้านโป่งพอมีเวลาให้คิดถึงจุดหมาย มันเป็นเวลาฝันของคนทั่วไปในคืนนี้ ตี 3 ไฟเลี้ยวซ้ายกระพริบเป็นจังหว่ะของมัน เมื่อรถลงสะพานและหยุดลงตรงหน้าประตูตึกแถว 3 ชั้น บ้านโป่ง อำเภอหนึ่งของเมืองราชบุรี ไม่กี่กี่นาทีเสียงประตูเหล็กเก่า ๆ ก็ดังขึ้น พร้อมกับ ใบหน้าที่ยื่นออกมาก่อนเท้าเสียอีก ผมลดกระจกลง พร้อมกับรอยยิ้ม ไปกัน เธอยิ้มรับและก้าวขึ้นรถ เราจะไปไหน ผมแค่ยิ้มๆและขับรถออกไปมุ่งสู่กาญจนบุรี กว่า 4 ชั่วโมง ชองจุดหมาย บนทางหลวง 323 จากกาญจนบุรีถึงทองผาภูมิ แยกซ้ายเข้าสู้ 3272 บรรจบสามแยกเข้าทางหลวงชนบท 4085 ปิล๊อก เหมืองเก่าที่มีตำนานเล่าขานมากมาย กว่า 399 โค้ง บนเส้นทางเลี้ยวลดคดเคี้ยว ถนนไม่ราบรื่นมากนัก ลัดเลาะตัดหุบเขา ทางตรงสับโค้งวกวนมากมาย ผ่านมากี่โค้งไม่อาจนับได้ มเพียงแสงไฟจากรถี่นำทางสู่เบื้องหน้า ข้งทางในช่วงเวลานี้เพียงความือปกคลุม ตีห้ากว่าๆ เห็นจได้ ความมดเริ่มเลือนลางหายไป ข้างทงที่เคยมืดมิดเริ่มสว่างและมองเห็นต้นไม้ที่รายเรียงขนาบข้างของถนน สีเขียวขอเห่าพืพันธุ์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆ ความมีชีวิตชีวากลับเข้ามาอีกครั้ง โหๆ สวยจัง เสียงใสๆดังขึ้นมาหลังเงียบหายไปกับความมืดอยู่พักใหญ่ 7 โมงเช้า เห็นจะได้ หลังจากหลุดรอดมาหลายโค้ง สายตาก็เหลือบไปเห็นจุดชมวิวฝั่งซ้ายมือ พักกันซักหน่อยเนาะ ไม่ทันได้ยินเสียงตอบรับ ไฟเลี้ยวซ้ายกระพริบปุ๊บเลี้ยวปั๊บ (นี่ถ้ามีรถหลังโดนด่ายับ 555) ลมเย็นๆกระทบผิวกาย ว้าว มันช่างเป็นลมที่เย็นถึงกับหนาวเลยหล่ะ บิดซ้าย-ขวา เหมือยชาวบ้านทั่วไป ไปทางนั้นกันเถอะเสียงใสแจ๋ว ทำให้ต้องมองไปตามเสียงนั้น ดูนั้นซิ เห็นไหมสวยจังเลย คิดในใจ(จะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น) ก้าวตามเสียงแล้วมองตามไป ว้าว มันงามอย่างที่เธอบอก หมอกกับแสงตะวันที่แตะขอบเขา มันช่างสวยงามยิ่งนัก หลังกดชัตเตอร์ความทรงจำไปหลายช็อด สวยเน่าะว่าไหม เสียงที่เปล่งออกมาพร้อมกับใบหน้าที่หันมาสบตาใกล้ๆ เพียงแค่สายตาที่สบกัน สวยมากผมตอบออกไปแต่สายตาหาได้ละจากใบหน้าเธอไม่ เพียงครู่ ไปกันเถอะพร้อมกับรอยยิ้มเดินไปขึ้นรถ เลี้ยวซ้ายออกไปสู่การเดินทางอีกครั้งจาก กม.11 ที่ตรงนี้ที่เขาเรียกกัน ไม่เพียงจุดชมวิวที่สวยงามให้หายเหนี่อย มันยังเป็นอีกจุดที่งดงามของความทรงจำ มันเป็นเส้นทางที่ไม่ง่ายเลยแต่เป็นเส้นทางที่มีความสุข กี่บทเพลงไม่รู้จาก กม.11 ถึงเนินช้างศึก...มันคือที่ไหน เนินช้างศึกคือยอดดอยปิล็อกนั่นหล่ะ เป็นที่ตั้งของฐานตำรวจตระเวนชายแดนที่ 135 ระหว่างไทยกับพม่า ณ จุดนี้เราสามารถมองได้รอบกายที่ต้องการ รถจอดลงในที่กำหนด เบื้องห้นาที่เห็นสวยงามนั้น คือ พม่าประเทศเพื่อนบ้านเรานี่เอง ความงามที่ยืนแค่มองไปข้างหน้าเพื่อนบ้านเรากับหันหลังกลับมาบ้านฉันนี่หว่า มันงามนะ หลังเสพความสวยงามทางสายตาและสูดความบริสุทธฺิ์ของอากาศแล้ว หิวแล้ว เสียงกังวานออดอ้อนก็ดังขึ้น โห นั่งเฉยๆก็หิวเน่าะ ไอ้เราคิดในใจ จะกินอะไรหล่ะ พลางถามออกไป ไม่รู้ แต่หิวอ่ะ อยากกินอ่ะไรร้อนๆ โจ๊ก ข้าวต้มหรืออะไรก็ได้อร่อยๆ น้าๆ พร้อมทำตาปริบกับอากัปกริยาที่ชวนหลงไหลยิ่งนัก แหมบอกคิดไม่ออกอยากกินเยอะเชียวนะ 555 งั้นป่ะขึ้นรถ บ้านอีต่องกัน... ภาพถ่ายโดยผู้เขียน