เราได้รู้จักอาราชิยามะ เมืองชนบทเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีเกียวโตแห่งนี้ผ่านทางช่องยูทูบช่องหนึ่ง คลิปในช่องนี้จะเป็นการพาไปเดินเที่ยวชมรอบ ๆ อาราชิยามะซะเป็นส่วนใหญ่ เราเองก็เพิ่งรู้ว่าป่าไผ่ที่มีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวนั้นตั้งอยู่ที่นี่ หลังจากลองเสิร์ชในอินเทอร์เน็ตดูก็พบว่ายังมีจุดท่องเที่ยวอีกหลาย ๆ จุดที่น่าสนใจและตั้งอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ กัน อย่างเช่น สะพานโทเก็ตสึเคียว วัดเท็นริวจิ และ โอโคจิซันโซวิลล่า ที่ในอดีตเคยใช้เป็นบ้านพักตากอากาศของนักแสดงภาพยนตร์ชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียง แต่ต่อมาก็ได้รับการบันทึกให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมและเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมโดยคิดค่าใช้จ่ายการเดินทางเริ่มจากสถานีเกียวโตด้วยรถไฟ JR รอบเช้าประมาณหกโมงครึ่ง และไปถึงสถานี Saga-Arashiyama ราว ๆ เจ็ดโมง เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่เริ่มเปิดให้เข้าชมช่วงแปดโมงครึ่งถึงเก้าโมง เราเลยตัดสินใจฆ่าเวลาโดยการไปเดินเล่นในป่าไผ่ และสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปให้เต็มที่ โชคดีที่เราไปแต่เช้าคนเลยยังไม่เยอะ เราเลยสามารถเดินทอดน่องซึมซับบรรยากาศไปเรื่อย ๆได้อย่างสบายใจ ให้ตัวเองได้อยู่ในอ้อมกอดของเหล่าต้นไผ่ที่ยืนต้นสูงใหญ่กับใบสีเขียวขจีหลักจากเดินเล่นอยู่สักพักใหญ่ ๆ ก็ยังไม่ถึงเวลาเปิดให้เข้าชมสักที เราเลยเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงสะพานโทเก็ตสึเคียว ตัวสะพานค่อนขว้างกว้างและมีระยะทางยาวพอสมควรแต่ก็เดินได้สบาย ๆ ตอนที่เราไปถึงพระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดีทำให้เราได้เห็นวิวสวย ๆ ของสะพานที่มีเขื่อนกั้นน้ำกับภูเขาที่เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีเป็นฉากหลัง ทั้งรู้สึกอบอุ่นและเย็นสบายไปพร้อม ๆ กัน (แปลก ๆ เนอะว่าไหม) ทั้งภาพของบรรดาผู้คนที่กำลังเดินข้ามสะพาน นักเรียนที่รีบปั่นจักรยานไปโรงเรียน รถบัสโดยสารที่วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว หรือกลุ่มนกเป็ดน้ำที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนผิวน้ำภายในเขื่อน ถึงจะไม่สามารถถ่ายรูปมาได้ทั้งหมด แต่ภาพเหล่านั้นก็ยังคงติดตรึงอยู่ในใจเราจนถึงวันนี้ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะได้เข้าชมสวนหินที่มีชื่อเสียงของวัดเท็นริวจิสักที ประตูทางเข้าวัดมีอยู่สองทางแต่เราเข้าตรงประตูข้างที่อยู่ติดกับป่าไผ่ พอจ่ายค่าเข้าเรียบร้อยแล้วเราก็เดินไปตามทางจนถึงจุดที่สามารถมองเห็นตัวอาคารวัดและสวนของวัดที่มีบ่อน้ำตั้งอยู่ได้อย่างชัดเจนทั้งหมด อาจจะเพราะเราไปเที่ยวตอนต้นเดือนธันวาคมที่เข้าฤดูหนาวแล้วเวลาไปเที่ยวที่วัดเราก็เลยรู้สึกเย็นสงบแล้วก็รู้สึกว่าบรรยากาศให้ความศักดิ์สิทธิ์มากเป็นพิเศษ พระอาทิตย์ที่โผล่พ้นมุมหลังคาวัดอย่างพอดิบพอดีกับสวนหินที่มีการจัดแต่งต้นไม้ไว้อย่างประณีตงดงามคู่กับน้ำในบ่อที่ใสราวกับกระจกจนเห็นภาพสะท้อนได้อย่างชัดเจน ไม่มีอะไรจะน่าประทับใจเท่านี้อีกแล้ว เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามาก ๆ เมื่อเทียบกับเงินไม่กี่ร้อยเยนที่จ่ายไปพออิ่มหนำสำราญกับบรรยากาศที่วัดเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินไปยังจุดหมายถัดไปที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กันนั่นก็คือ โอโคจิซันโซวิลล่า สถานที่แห่งนี้แตกต่างจากวัดเท็นริวจิอย่างสิ้นเชิง บรรยากาศภายในให้ความรู้สึกสบาย ๆ เหมือนมาเดินเล่นในสวนสวย ๆ ของบ้านคนรวยซะมากกว่า นอกจากจะได้ชมวิวสวย ๆ แล้วที่นี่ยังมีบริการขนมและชาเขียวฟรีอีกด้วย (จริง ๆ แล้วค่าขนมกับชาเขียวถูกคิดรวมอยู่ในค่าเข้าชมเรียบร้อยแล้ว) ขนมที่เอามาเสิร์ฟนั้นรสชาติเหมือนนมผงรสถั่วที่อัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ รสชาติหวาน ๆ มันๆ แต่แอบแข็งและเฝื่อนคอเล็กน้อยเลยอดไม่ได้ที่จะต้องดื่มชาตาม ด้านในของโอโคจิซันโซวิลล่าจะแบ่งออกเป็นสามส่วนหลัก ๆ ก็คือบริเวณทางเข้าสวนที่มีห้องชงชาตั้งใกล้ ๆ กัน พอเดินเลยเข้าไปอีกหน่อยก็จะเจอบ้านพักตากอากาศที่เป็นแลนด์มาร์คของที่นี่ ภาพตัวอาคารที่ตั้งอยู่คู่กับต้นไม้ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีกับพื้นหลังที่เป็นภูเขาสีเข้มทอดตัวยาวช่างตัดกันกับท้องฟ้ายามเช้าสีสันสดใส ไม่รู้เลยว่าจะหาคำไหนมาอธิบายดี คำว่าสวยยังถือว่าน้อยไป พอเดินต่อออกจากตัวบ้านพักจะมีทางขึ้นเขาแบบ one way ระหว่างทางขึ้นเขาก็จะค่อย ๆ เห็นวิวด้านล่างอย่างชัดเจนมากขึ้น เดินขึ้นไปอีกสักพักก็จะเจอจุดแวะพักที่มีลักษณะเหมือนห้องญี่ปุ่นแบบโบราณขนาดเล็กถูกเปิดประตูโชว์ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้สำรวจภายใน ทางเดินค่อนข้างชันและขรุขระอาจจะไม่เหมาะกับผู้สูงอายุสักเท่าไหร่ เราเองก็มีสะดุดบ้างแอบลื่นบ้างเหมือนกัน พอขึ้นไปถึงจุดสูงสุดก็จะมีศาลาไม้รูปร่างธรรมดา ๆ ตั้งไว้ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักหายใจหรือถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ก่อนจะเดินกลับลงมาเพื่อไปที่ทางออกไม่ว่าจะเป็นป่าไผ่ สะพานโทเก็ตสึเคียว วัดเท็นริวจิ หรือ โอโคจิซันโซวิลล่าแต่ละที่ต่างก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นของตัวเอง สำหรับเราป่าไผ่ไม่ได้เป็นแค่กลุ่มกอไผ่ที่ขึ้นเรียงรายติด ๆ กัน จนกลายเป็นทางเดินสวย ๆ ให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูป มันมีความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่านั้นการที่ได้ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าต้นไผ่และแหงนหน้ามองดูยอดไม้ที่สูงทะลุเสียดฟ้ามันทำให้รู้สึกว่าเราก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจิ๋ว ที่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่เท่านั้น ไม่มีใครมากำหนดหรือให้คำจำกัดความกับความหมายของชีวิตเรา ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวายใด ๆ ในโลกภายนอก ณ สถานที่แห่งนี้เราได้ค้นพบอิสระและความสงบทางจิตใจ นี่จึงถือว่าเป็นรางวัลพิเศษจากการตรากตรำก้มหน้าก้มตาทำงานมาเป็นปี ๆ ตรงกันข้าม ถ้าป่าไผ่แสดงถึงความสงบ เราคิดว่าสะพานโทเก็ตสึเคียวแสดงถึงความมีชีวิตชีวาแบบที่ไม่วุ่นวาย ตอนที่เรายืนอยู่บนสะพานและใช้เวลาสำรวจวิถีชีวิตของคนในพื้นที่และรถราทั้งหลายที่สัญจรไปมา ท่างกลางขุนเขาและกระแสน้ำที่ไหลเอื่อย ๆ เรารู้สึกถึงไดนามิกของพลังแห่งชีวิต และที่สำคัญที่สุดคืออาราชิยามะไม่ได้มีดีแค่ป่าไผ่หลังจากเดินเที่ยวจนหมดเรี่ยวแรงก็ถึงเวลาเติมพลัง เราแวะพักทานอาหารในร้านที่ชื่อว่า "คาเมยามะ" ร้านนี้อยู่ทางฝั่งเดียวกันกับป่าไผ่ไม่ต้องข้ามสะพานไป ถ้าใครเดินมาจากป่าไผ่ พอเดินมาเรื่อย ๆ ก็จะทะลุมาถึงบริเวณใกล้ ๆ หลังร้าน แต่ถ้าหากใครยืนอยู่ตรงบริเวณหน้าสะพานโทเก็ตสึเคียว ให้เดินเรียบถนนไปตามทางขวามือ ระยะทางอาจจะไกลนิดหน่อย แต่รสชาติและราคาอาหารคุ้มค่าแน่นอน ด้านล่างเป็นรูปบริเวณด้านหน้าร้านอาหาร ใครไปเที่ยวก็อย่าลืมแวะไปลองทานกันดูแล้วมาแชร์ประสบการณ์กันนะคะ (ด้วยความที่เราหิวมากพออาหารมาเสิร์ฟปุ๊บเราก็จ้วงข้าวเข้าปากปั๊บ ลืมนึกถึงเรื่องถ่ายรูปไปซะสนิท)หมายเหตุ รูปภาพทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !