สวัสดีค่ะ สืบเนื่องมาจากบทความ "เล่าประสบการณ์การไปสหรัฐอเมริกาครั้งแรก #นักเรียนแลกเปลี่ยน รุ่น covid-19 โควิดบุก!!!" หลาย ๆคนคงพอจะรู้คล่าว ๆ เกี่ยวกับทริปอันยาวนานนี้ แต่วันนี้เราจะมาเจาะลึกประเด็น "การเดินทาง" ให้ทุกคนได้เห็นภาพไปตาม ๆ กันค่ะ บอกก่อนเลยว่าเราก็เป็นหนึ่งในมือใหม่หัดเดิน(ทาง)คนหนึ่งเหมือนกัน เรียกได้ว่าประสบการณ์เป็นศูนย์ ใครที่กังวลเรื่องการเดินทางไปต่างประเทศสบายใจได้เลยค่ะ เราสามารถไปได้ ทุกคนก็สามารถไปได้ค่ะ! 555 เราได้รวบรวมเทคนิคการเดินทางมาฝากกันด้วย แต่เราคงไม่สามารถรับประกันได้ว่าการเดินทางจะสมบูรณ์นะคะ เพราะเราก็ทำเรื่องเปิ่นๆไปไม่น้อยเลยทีเดียว พร้อมที่จะไปชมประสบการณ์และความวุ่นวายในการเดินทางไกลคนเดียวกันหรือยัง ถ้าพร้อมแล้วมาเริ่มต้นเดินทางกันเลยค่ะ การเดินทางจากกรุงเทพไปนาริตะ(ญี่ปุ่น) ในไฟร์ทแรก เราค่อนข้างอุ่นใจ เพราะว่าเราเริ่มต้นเดินทางพร้อมกับเพื่อนในโครงการอีก 2 คนค่ะ ช่วงแรกแทบจะไม่มีความกังวลเรื่องของการเดินทางเลยค่ะ อาจจะเพราะตื่นเต้นและตั้งตารอการเดินทางนี้มานานด้วยส่วนหนึ่ง แต่หลัก ๆ ก็เพราะมีเพื่อนเดินทางไปด้วยกันนี่แหละค่ะ ถึงแม้เรากับเพื่อนอีก 2 คน จะนั่งแยกกระจายไปคนละทิศ แต่แค่อยู่เครื่องบินลำเดียวกันก็สบายใจแล้วค่ะ เหตุการณ์ทุกอย่างดูเหมือนจะเรียบร้อยดี จนเราหิวนี่แหละค่ะ ในช่วงที่เริ่มเดินทางตอนแรกค่อนข้างเช้า เรากินข้าวไม่ค่อยลง เลยพกขนมปังติดกระเป๋าไปค่ะ! ดูเหมือนเตรียมตัวดี แต่ดันเอาขนมปังใส่กระเป๋าล้อลากไปค่ะ และกระเป๋าล้อลากถูกเก็บไว้บนช่องเหนือศรีษะ และจากส่วนสูงของเราแล้ว การเปิดเองน่าจะเละเทะค่ะ ด้วยความเกรงใจ(ที่มากเกินไป) เราเลยทนความหิวและนั่งรอไปเรื่อย ๆ จนอาหารมาเสิร์ฟค่ะ เป็นอาหารมื้อที่อร่อยที่สุดมื้อหนึ่งเลย 555 ระหว่างทางเราก็ได้รู้จักกับคนข้าง ๆ ค่ะ โดยเหตุการณ์เหมือนกับในโฆษณาเลยค่ะ เริ่มจากเราหยิบลูกอมออกมา จากนั้นคนข้างๆก็ถามว่ารสอะไร จากนั้นก็แชร์ขนมกันค่ะ แล้วก็คุยกันระหว่างทริปไปยาว ๆ เหตุการณ์ดูจะสบาย ๆ ไม่เคร่งเครียด จนกระทั้งเครื่องบินที่ไปนาริตะถึงช้าค่ะ ทำให้เราเหลือเวลาต่อเครื่องอีกแค่ประมาณ 20 นาที! (ใครที่เลือกได้ พยายามเลือกเวลาแต่ละไฟร์ทให้ห่างกันเยอะ ๆ หน่อยนะ) เริ่มลงจากเครื่องมาก็ตื่นเต้นเลยค่ะ ที่นาริตะเราต้องแยกกับเพื่อนแล้วด้วย ไหนจะผ่านการตรวจต่าง ๆ รีบสุด ๆ เลยค่ะ หลังจากที่เราเข้าไปด้านในโซนที่มีให้ซื้อของแล้ว เราก็วิ่งเลยค่ะ ระหว่างที่วิ่งก็จะมีสายตาจับจ้อง ก็ไม่แปลกหรอกค่ะจริง ๆ แล้ว เพราะเราเป็นคนเดียวในสนามบินที่วิ่ง มือหนึ่งลากกระเป๋า มือหนึ่งถือเอกสารต่าง ๆ ส่วน gate ที่เราต้องไปก็อยู่ไกลเหลือเกินค่ะ น่าจะเกือบสุดทาง และในที่สุดเราก็มาถึง gate ค่ะ แต่ใจไม่ได้สงบลงเลย เต้นแรงกว่าเดิมอีกค่ะเมื่อเห็นว่า gate ปิด! ตอนนั้นตกใจมาก ก่อนจะเหลือบไปเห็นป้ายว่า gate ที่เราต้องไป ย้ายไปข้าง ๆ ตอนนั้นสบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ไปถึงอย่างฉิวเฉียด ก่อนจะมารู้สึกตัวว่า ต่อจากนี้คือการเดินทางคนเดียวจริง ๆ แล้ว การเดินทางจากนาริตะไปลอสแองเจอลิส(อเมริกา) ช่วงเวลาบนเครื่องบินจากนาริตะไปอเมริกายาวนานมากค่ะ ผู้คนบนเครื่องบินก็เปลี่ยนจากคนเอเชียเป็นคนฝั่งยุโรปกันเป็นส่วนใหญ่ ช่วงเวลาบนเครื่องบินลำนี้ค่อนข้างผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ อาจจะเพราะว่าเราทำอยู่แค่สองอย่างคือ กินและนอนค่ะ สำหรับใครที่นอนได้นอนดีแบบเรา แนะนำเลยค่ะว่าให้ นอนในช่วงที่สามารถนอนได้ ถือว่าเป็นการเก็บพลังงานค่ะ แล้วเราจะได้ไม่ง่วงเวลาต่อเครื่องด้วย แต่ถึงเราจะไม่ง่วง เราก็ทำอะไรเอ๋อ ๆ เยอะเหมือนกันค่ะ เริ่มตั้งแต่ตอนเครื่องบินลงจอดที่ LAX ที่สนามบินนี้เราต้องตรวจคนเข้าเมืองและเอากระเป๋าไปที่เครื่องบินอีกลำค่ะ อย่างแรกคือเราไม่รู้ทางในสนามบินเลย เราก็เลย... เดินตามคนข้างหน้าค่ะ ซึ่งได้ผลจริง ๆ ค่ะ แต่ว่าอย่าหลับหูหลับตาเดินนะคะ ให้สังเกตป้ายด้วยค่ะว่าเราจะไปที่ไหน จากนั้นเราก็เดินผิด ๆ ถูก ๆ อยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ผิดไปไกลมาก การอ่านป้ายช่วยได้เยอะจริง ๆ ค่ะ ในที่สุดก็ผ่านเข้าไปด้านในได้ พอผ่านเข้าไป เราก็ต้องไปรับสัมภาระค่ะ เรายืนรอนานมาก ๆ เหตุผลก็คือ เรารอผิดที่ค่ะ... เรายืนรอประมาณ 10 นาทีได้ ก่อนจะถามพี่พนักงาน ดังนั้นคนที่เดินทางเองนะคะ สงสัยให้เดินเข้าไปถามเลยค่ะ ดูคนที่เป็นพนักงานแล้วเข้าไปสอบถามได้เลย ไม่ต้องกลัวค่ะ อย่าเสียเวลาแบบเรา ดีที่เรามีเวลาค่อนข้างนานค่ะ หลังจากนั้นเราก็มีขึ้นบันไดเลื่อนค่ะ ในสนามบินตรงนั้นเงียบมาก ๆ ไม่มีเสียงอะไรเลย จนกระทั้งมีคนทำของตกค่ะ ใช่แล้ว คนนั้นคือเราเอง เราทำร่มตกลงตามขั้นบันไดเลื่อน ทำลายความเงียบสงบในสนามบินไปเลยค่ะ คนที่อยู่บันไดขั้นล่างก็ช่วยกันส่งต่อร่มมาให้เราค่ะ เป็นอะไรที่อายมาก แต่ไม่มีทางให้หนีเลยค่ะ 5555 พอเสร็จทุกอย่างเรียบร้อย เราก็ต้องตามหา gate อีกแล้ว... บอกก่อนว่าเราใช้แอปนึงค่ะ ชื่อว่า The Flight Tracker มือใหม่แนะนำให้โหลดติดเครื่องไว้เลยค่ะ โดยแอปนี้จะช่วยบอก terminal และ gate ให้เรา และเวลามีการเปลี่ยนแปลงก็จะมีการแจ้งเตือนค่ะ แอปนี้ใช้ง่ายมาก ๆ แนะนำเลย เราทดลองใช้ให้แล้วค่ะ เพราะเราก็พึ่งแอปนี้ทั้งตอนไปและกลับเลยค่ะ สงสัยเหมือนกันว่าถ้าไม่มีแล้วจะทำยังไง 555 มาต่อกันที่การหา gate ค่ะ ในแอปบอกเราว่า เราต้องไปอีก terminal นึง แต่มันไกลอยู่ค่ะ ต้องนั่งรถบัส ตอนนั้นลังเลมากค่ะ ไม่รู้ว่าจะเชื่อแอปดีไหม แต่เวลาเราเหลืออีก 4 ชั่วโมงเลยค่ะ เราก็เลย... เสี่ยงขึ้นรถไป ตอนนั้นตื่นเต้นมาก(อีกแล้ว) กลัวไปผิดที่แล้วหลง บนรถก็เงียบสงบ มีแค่ 2 คนคือเรา และคนขับรถ พอถึงตึกเป้าหมาย เราก็เดินเช็คว่ามาถูกที่ไหม แล้วก็พบว่า gate ที่แอปบอกไม่ได้ไปพอร์ตแลนด์ค่ะ ใจเต้นแรกอีกแล้ว ก่อนจะเดินไปถามพนักงงานแล้วก็พบว่า เขาย้าย gate อีกแล้วค่ะ... เมื่อเราถึง gate เรียบร้อยแล้ว เราก็นั่งรอยาว ๆ 4 ชั่วโมง(บางครั้งถ้าเวลาเหลือเยอะก็อย่าเดินเล่นเพลินนะคะ ให้มารอก่อนเวลาขึ้นเครื่องประมาณ 45 นาทีเพื่อความสบายใจ) ระหว่างที่รอเครื่องก็มีคุณยายคนหนึ่งเดินมาหาเราด้วยค่ะ ก่อนที่เขาจะแรปโย่วภาษาจีน แต่ว่า... เราพูดภาษาจีนไม่ได้ค่ะ ไม่รู้จะตอบเขาว่าอะไร เลยตอบว่า "I can't speak Chinese" ไปค่ะ 555 จากนั้นคุณยายก็หายไปเลยค่ะ การเดินทางจากลอสแองเจอลิสไปพอร์ตแลนด์(อเมริกา) และแล้วก็มาถึงไฟร์ทสุดท้ายค่ะ ไฟร์ทนี้แค่ประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็ไม่ได้นอนค่ะ เพราะนอนมาเต็มอิ่มแล้ว บนเครื่องบินลำนี้เรียบร้อยดีค่ะ อาจจะเพราะชินกับการเดินทางแล้ว และสถานีต่อไปก็จะเจอกับโฮสแฟมมิลี่แล้วค่ะ เวลาบนเครื่องผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราถึงสนามบินอย่างราบรื่น โฮสแฟมมิลี่นัดเราไปเจอที่รับกระเป๋าค่ะ จากนนั้นเราก็เดินตามทางตามป้าย แล้วก็... เจอโฮสแฟมมิลี่อย่างปลอดภัยค่าา จบไปกับบทความเรื่องการเดินทางค่ะ จะเห็นได้ว่าเราตื่นเต้นทุกขั้นตอนเลย 555 และเราก็เชื่อว่าใครที่เดินทางครั้งแรกก็รู้สึกแบบนี้กันทั้งนั้นแหละค่ะ ความตื่นเต้นจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย(แบบเรา) แต่ถ้าเราสามารถควบคุมมันได้ เราก็จะผ่านการเดินทางไปได้อย่างราบรื่นค่ะ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน โดยเฉพาะผู้ที่กังวลเรื่องการเดินทางนะคะ ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านกันนะคะ ปล.ภาพทุกภาพเราเป็นคนถ่ายเองเช่นเคยนะคะ