สวัสดีครับนักเที่ยวสายบุญทั้งหลายวันนี้ผู้เขียนมีเรื่องวัด ๆ มานำเสนออีกแล้วครับท่าน...วัดที่ว่านี้เป็นวัดที่เก่าแก่อีกวัดหนึ่งในตำแม่แรงอำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูนครับ เป็นวัดเล็ก ๆ แต่มีความพิเศษกว่าวัดอื่น ๆ ตรงที่วัดแห่งนี้มียังคงความเป็นเอกลักษณ์ (เมื่อเข้ามาในวัดแล้วมีความรู้สึกว่ามีกลิ่นไอของบรรยากาศเดิม ๆ ย้อนไปประมาณสัก 80-90 ปี เป็นวัดที่มีศาสนสถานเพียงไม่กี่อย่างแต่สิ่งที่มีมากกว่านั้นคือความศรัทธายังคงมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย ซึ่งถือว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดประจำตำบลแม่แรงอีกแห่งหนึ่ง มาดูกันครับว่าวัดที่ว่านี้คือวัดอะไร วัดที่ว่านี้คือ “วัดหนองเงือก” ตั้งอยู่ที่ ตำบลแม่แม่แรง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน การเดินทางใช้ทางหลวงหมายเลข 106 ไปทาง อ.บ้านโฮ่ง ประมาณ 6 กม. มีทางแยกขวามือ ให้เลี้ยวเข้าไปประมาณ 1.5 กม. เจอสามแยกบริเวณวัดดอนหลวงให้เลี้ยวซ้ายเข้าไป เลยร้านอุดมศิริผ้่าฝ้ายไปเล็กน้อยเป็นสามแยก ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไป 250 เมตร ก็จะพบกับจุดหมาย วัดนี้มีความพิเศษอยู่หลายอย่างครับ...หลายท่านคงสงสัยหละซิว่ามีอะไรบ้างมาดูกันครับว่าความพิเศษที่ว่านี้มีอะไรบ้าง จุดที่หนึ่ง ก่อนเข้าไปยังบริเวณอาณาเขตของวัดท่านจะพบกับพระพุทธรูปปางนาคปกครับใต้ต้นศรีมหาโพธิ์หน้าวัดซึ่งจะมีพุทธลักษณะคือเป็นองค์สีทองมีพระเกสาสีดำประดิษฐานบนนาคขดสี่ขั้นโดยมีเศียรพญานาคเจ็ดเศียร จากพุทธประวัติเชื่อว่าพระพุทธรูปปางนาคปกนี้เป็นพระพุทธรูปประจำวันเกิดของคนวันเสาร์ โดยตามประวัติเล่าว่าเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณได้เสวยวิมุตติสุขเป็นเวลา 7 วันใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ มีพญานาคนามว่ามุจจรินทร์ พญานาคว่าเป็นสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์โดยเห็นได้จากตำนานเมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์พระองค์ได้ทรงเสวยวิมุติสุขเป็นเวลา 7 วันโดยมีพระยามุจรินทร์ ได้แผ่พังพานป้องกันแดด ฝน หรือมีแมลงน้อยใหญ่ไม่ให้มารบกวนพระวรกายของพระองค์จึงเป็นที่มาของพระพุทธรูปปางนาคปกที่ว่านี้ เมื่อท่านมาถึงแล้ว..รีบเลยครับเข้าไปกราบสักการะขอพรได้เลย จุดที่สอง ท่านจะพบกับ "ประตูขุง" ใช่ครับผู้เขียนไม่ได้เขียนผิดแน่นอนอ่านประตูขุงจริง ๆ หลายท่านอาจจะไม่คุ้นเพราะที่เคยได้ยินมามีแต่ "ประตูโขง" (ผู้เขียนสันนิษฐานว่าประตูขุงหรือประตูโขงความหมายอย่างเดียวกันแต่ที่ออกเสียงเป็นประตูขุงเหตุเพราะคนพื้นถิ่นแถวนี้พูดภาษายอง (คล้าย ๆ ภาษาเหนือแต่การออกเสียงจะแตกต่างกัน) จึงน่าจะเพี้ยนจากเสียงของคำว่าโขงเป็นขุง ประตูขุงนี้เป็นประตูที่มีลวดลายเป็นปูนปั้นที่สวยงาม เป็นรูปกินนร กินนรี และลานเครือเถาที่อ่อนช้อยซึ่งปัจจุบันมีสภาพค่อนข้างเก่าแต่ยังถือว่ามีความสมบูรณ์มากเท่าที่ผู้เขียนเคยพบเห็นมากับสภาพ และขนาดอายุประมาณนี้ จุดที่สาม จะเป็นที่ตั้งของพระวิหารโดยทางขึ้นจะเป็นบันไดนาคขดถูกมังกรคาบเหตุที่เรา ๆ ท่าน ๆมักจะเห็นว่าในวัดมีการสร้างพญานาคไม่ว่าจะเป็นทางขึ้นวิหาร ศาลา อาคารเสนาสนะต่าง ๆ ซึ่งแท้จริงแล้วชาวพุทธมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของพญานาคว่าเป็นสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์โดยเห็นได้จากตำนานเมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์พระองค์ได้ทรงเสวยวิมุติสุขเป็นเวลา 7 วันก็มีพญานาคแผ่พังพานป้องกันอันตรายหรือสิ่งที่จะมารบกวนแก่พระพุทธองค์นอกจากนี้ยังพบในพุทธประวัติ เช่น ตำนานของการบวชนาค (ปฐมเหตุเกิดจากก่อนเมื่อครั้งมีพุทธบัญญัติห้ามสัตว์เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาจึงเป็นที่มาของการขอให้จารึกชื่อว่าก่อนจะมีการบวชขอให้มีการบวชนาคเป็นหมุดหมายสัญลักษณ์ก่อน เป็นต้น) จึงน่าจะถือว่านาคมีความเกี่ยวข้อง และอยู่คู่กับพระพุทธศาสนามาเนิ่นนาน เมื่อท่านมาถึงแล้วก็สามารถเข้าไปกราบขอพระพระประธานในพระวิหารได้นะครับ จุดที่สี่ ศาลาแฝดซึ่งเป็นศาลาทรงไทยสองหลังติดกันภายในมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่น่าจะเป็นพระพุทธรูปศิลปะแบบล้านนา (ศาลาหลังแรก) ส่วนศาลาหลังที่สองจะมีพระพุทธรูปองค์สีทองปางชนะมารประดิษฐานอยู่ซึ่งศาลาทั้งสองหลังนี้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปกราบขอพรได้ตลอดนะครับเปิดตลอดอย่าลืมเพื่อความเป็นสิริมงคลของตน และครอบครัว จุดที่ห้า หอไตรวัดหนองเงือกมีกลัษณะแตกต่างจากที่พบทั่วไปในจังหวัดลำพูนเป็นหอไตรก่ออิฐถือปูนทั้งสองชั้น เป็นศิลปะแบบพม่า ชั้นบนทึบมีการเจาะช่องสี่เหลี่ยมคล้าย ๆ หน้าต่างชั้นล่างเป็นโถงโล่ง มีระเบียง และผนังของอาคารชั้นล่างมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นเรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นต้นซึ่งสภาพของจิตกรรมค่อนข้างจะหลุดลอกไปบ้างแต่ก็ยังคงความสวยงามกับสภาพที่เป็นอยู่สวยงามไปอีกแบบสำหรับพระไตรปิฎกนี้ หอพระไตรปิฎก ท่านทราบหรือไม่ครับว่าหอพระไตรปิฎกนี้มีไว้ทำไม....คืออย่างนี้ครับแต่เดิมมาตั้งแต่สมัยโบราณชายไทยมักจะได้รับการศึกษาหรือแสวงหาความรู้จากครูบาอาจารย์ที่เป็นเจ้าวัด เจ้าสมภาร คือ ความรู้ที่ได้ต่าง ๆ จะได้จากพระครับ เห็นหรือไม่ว่าเด็กวัดหลายคนอ่านออก เขียนได้ เป็นใหญ่เป็นโตในสมัยก่อน ๆ ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากวัดทั้งนั้น และวัดจึงเป็นที่มาของแหล่งสะสมความรู้ แหล่งถ่ายทอดความรู้ ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ ตำรา ปั๊บสา (คัมภีร์ใบลาน/กระดาษสาของทางล้านนา) มีเยอะแยะมากมายซึ่งคัมภีร์เหล่านี้จะเก็บรวบรวมยอดวิชา (ประมาณว่าเคล็ดลับวิชาต่าง ๆ )ไว้มากมายผู้เขียนเข้าใจว่า จึงมีการสร้างหอพระไตรปิฎกขึ้นมาเพื่อเก็บคัมภีร์เหล่านี้ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งน่าจะใช้เก็บพระไตรปิฎกจริง ๆ (เท่าที่ผู้เขียนเห็น) พระไตรปิฎกของคนล้านนา (คนทางภาคเหนือ) ส่วนมากจะมีทั้งที่บันทึกลงในปั๊บสา (กระดาษสา) หรือใบลานก็พบบ้างในบางวัด จุดที่หก หอไพระอุโบสถมีรวดลายปูนปั้นประดับสวยงามทางขึ้นจะมีสิงห์สีทองสวยงามมากความเชื่อของคนทางเหนือเชื่อว่าสิงห์เป็นสัตว์มงคลคอยปกปักรักษาดูแลบริเวณเขตพุทธาวาส สำหรับอุโบสถนี้จะใช้เป็นที่ประกอบสังฆกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานอุปสมบท (บวชพระ) สวดปาฏิโมกข์ เป็นต้นก็จะใช้พื้นที่ภายในพระอุโบสถ ซึ่งทางภาคเหนือถือว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ (บางแห่งห้ามผู้หญิงเข้า) เห็นไหมหละครับว่าวัดเล็ก ๆ แต่มีหลายสิ่งที่น่าสนใจจริง ๆ หากท่านมีโอกาสหรือผ่านไปผ่านมาอย่าลืมนะครับแวะมาให้ได้รับรองเลยว่าสิ่งที่ได้กลับไปแน่นอนคือความอิ่มเอมใจครับ...เอาหละครับสำหรับวันนี้เท่านี้ก่อนนะครับ...แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ... เครดิตภาพทั้งหมดจากผู้เขียน (ดร.อาบแสงจันทร์ ต.)