ทำไมคนที่แนะนำทริปสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีถึงชอบย้ำแล้วย้ำอีกว่า ต้องนั่งเรือไปชมวัดจมน้ำให้ได้นะ ทำไมและทำไม ทั้งที่วัดก็มีมากมายในประเทศไทย ไปดูง่ายกว่าด้วย แต่เมื่อคนแนะนำ ก็ไปดูกันว่ามีอะไรน่าสนใจมากกว่าซากปรักหักพังหรือเปล่า ทริปนี้เป็นทริปปุบปับ จึงมีนักท่องเที่ยวแค่ 2 คนถ้วน แต่การจะเช่าเรือไปชมวัดจมน้ำนั้น ต้องเช่าเรือไป เรือจะจอดอยู่บริเวณท่าใต้สะพานไม้ที่เรียกกันว่า สะพานมอญ นั่นแหละ ดูราคาแล้ว มี 2 อัตรา เรือแต่ละลำให้นั่งได้ไม่เกิน 6 คน ถ้าชมวัดเดียว คิด 300 บาท ถ้าชมทั้ง 3 วัด คิด 500 บาท ใคร ๆ ที่มาถึงแล้วเชื่อว่าน่าจะไปทั้ง 3 วัดมากกว่า แต่การมาสองคน ควรหาคนแชร์ค่าเรือ โชคดีเจออีก 2 คนที่เขาก็กำลังจะไปชมวัดจมน้ำเหมือนกัน 2 ข้างระหว่างเรือแล่นไป เห็นวัดพุทธคยาอยู่ลิบ ๆ หมายใจว่า ในทริปนี้จะต้องไปให้ถึงให้ได้ รวมถึงระหว่างทาง ได้เห็นผู้มีใจเดียวกัน ทั้งคนไทย ต่างชาติ พระภิกษุ ต่างมุ่งตรงสู่วัดจมน้ำ 3 วัดที่ไปชม นับรวมแล้วได้ 3 สัญชาติ คือ วัดวังก์วิเวการามเดิม ของหลวงพ่ออุตตมะ วัดเก่าแก่แห่งนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2496 กว่า 60 ปีที่ผ่านมา หลวงพ่อกับชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญร่วมกันสร้างขึ้น องค์หลวงพ่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน จะหลังเก่าที่จมน้ำนี้ หรือสร้างใหม่ ก็ยังมีผู้ศรัทธาหนาแน่นเช่นเดิม ต้องย้อนกลับไปดูวัตรปฏิบัติที่ทำให้ชาวบ้านเลื่อมใส อีกจุดน่าสนใจคือ อริยประเพณีในการสร้างโบสถ์ที่ผนังโบสถ์จะมีซุ้มพระพุทธรูปขนาดเล็กเต็มไปหมด เห็นแบบนี้ที่ประเทศเมียนมาร์เช่นกัน วัดนี้เป็นวัดจมน้ำที่หักพังมากขึ้นเรื่อย ๆ วันที่ไปขึ้นไปไม่ได้เพราะคนเรือบอกว่าอันตราย วัดศรีสุวรรณ วัดชาวกะเหรี่ยงเต็มรูปแบบ หน้าตาค่อนข้างสมบูรณ์กว่าวังวังก์ ฯ เก่า แต่เห็นเพียงครึ่งเดียว เลยได้แต่ดูไกล ๆ วัดที่ 3 คือ วัดสมเด็จเก่า วัดร้างสัญชาติไทย 100% ไม่ได้จมอยู่ในน้ำแต่ตั้งอยู่บนเนิน ในโบสถ์ยังมีพระประธานตั้งอยู่ ขึ้นบันไดดินธรรมชาติ ตัวโบสถ์มีพันธุ์ไม้เกาะเลื้อยเป็นศิลปะ ไกด์ตัวน้อยลูกชาวบ้านมาทำหน้าที่แนะนำแข็งขันแลกกับทริปจากนักท่องเที่ยวเล็ก ๆ น้อย ๆ มากกว่าการล่องเรือชมธรรมชาติของฟากฝั่ง เห็นแรงศรัทธาของชาวบ้าน แรงศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า และการทำประชาสัมพันธ์ที่ดีของสังขละ ฯ ทำให้เกิดการสร้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจ ตราบเท่าที่เทรนด์ล่องเรือชมวัดจมน้ำยังอยู่คู่สังขละบุรีต่อไป