การเดินทางคนเดียวอาจจะเป็นสิ่งที่หลายๆคนเคยใฝ่ฝันในชีวิตสักครั้งหนึ่งอยากเดินทางไปที่ไหนสักทีด้วยตัวของเราเอง มะเหมี่ยวก็เป็นคนหนึ่งที่มีความฝันแบบนั้นค่ะ และมีแพลนไปสถานที่ต่างๆมากมายทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ แต่ก็พับโปรเจคเหล่านั้นไปด้วยความที่เราไม่กล้าที่จะเดิน กลัวไปหมด กลัวในสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้น หรือมันอาจจะไม่เกิดขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่งได้ถูกมอบหมายให้ไปทำงานต่างถิ่นต่างแดน เป็นอะไรที่เกินความคาดหมาย อย่างที่ไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน จึงใช้เวลาตัดสินใจอยู่สักพักใหญ่ก่อนจะตอบตกลง จึงเป็นที่มาของการเริ่มต้นการเดินทางของมะเหมี่ยวในครั้งนี้ เมื่อประมาณช่วงสิงหาคมปี 2019 ที่ผ่านมา มะเหมี่ยวได้มีโปรเจคที่ต้องไปทำที่เวียดนาม ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ใหม่มากๆของชีวิต ทั้งเป็นผู้หญิงที่ต้องเดินทางคนเดียว และต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นั้นถึง1อาทิตย์ อีกทั้งเครื่องบินก็ไม่เคยขึ้น แต่เมื่อโอกาสเป็นของเรา ก็สัญญากับตัวเองว่าจะทำให้ตัวเองมีช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต การเตรียมตัวครั้งยิ่งใหญ่ก่อนเดินทาง ครั้งนี้สิ่งที่มะเหมี่ยวห่วงที่สุดในชีวิตไม่ใช่เรื่องการทำงาน แต่เป็นเรื่องสุขภาพ หากไปไหนมาไหนคนเดียวในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย หากเป็นอะไรขึ้นมาก็อาจจะลำบากหน่อย จึงเลือกที่จะเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนเป็นอันดับแรก ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทำร่างกายให้แข็งแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และศึกษาเรื่องประกันเดินทาง และการเดินทางของมะเหมี่ยวครั้งนี้เลือกประกันเดินทางในวงเงินสูงสุด เพื่อความปลอดภัย แต่จริงๆแล้วน่าจะเพื่อความสบายใจเสียมากกว่า เมื่อแลกกับเงินหนึ่งพันต้นกับการเดินทางได้อย่างความสบายใจ มะเหมี่ยวว่าก็ไม่แย่ที่เราจะยินดีจะเสียตรงนี้ อีกทั้งหากเป็นผู้หญิงที่จะลองเดินทางคนเดียวก็ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นค่ะ และเนื่องจากการเดินทางครั้งนี้เป็นการไปทำงาน เรื่องตั๋วเครื่องบินและที่พักจึงถูกแบ่งเบาภาระของเราออกไปได้ส่วนหนึ่งที่เราไม่ต้องจัดการหาเอง ที่เหลือก็คงเป็นการเตรียมตัวและเตรียมของ โดยครั้งนี้มะเหมี่ยวมีเวลาเตรียมตัวเกือบ1เดือน จึงไม่มีปัญหาในการจัดเตรียมเท่าไหร่ ดังนั้นมะเหมี่ยวจึงเอาเวลานิดหน่อยมาเตรียมตัววางแผนการเดินทาง และศึกษาข้อจำกัดต่างๆของประเทศเวียดนามซึ่งก็ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรน่ากังวล เรื่องการเดินทางผู้หญิงตัวคนเดียวกระเป๋าคาดอก หรือกระเป๋าที่สะพายมาด้านหน้าสำคัญมาก ไม่ว่าจะไปประเทศอะไรก็ควรจะมีนะคะ เมื่อวันเดินทางมาถึง นอนหลับบ้างไม่หลับบ้างตามปกติของร่างกาย แต่สุดท้ายก็อาบน้ำแต่งตัวเตรียมเดินทาง โดยมะเหมี่ยวตัดสินใจเลือกไฟท์เช้าสุดของการบินไทยเพื่อที่จะได้มีเวลาส่วนตัวเหลือบ้าง ตามกำหนดการของเครื่องบินแล้วมะเหมี่ยวจะบินถึงโฮจิมินห์ประมาณ9โมงกว่าๆไม่เกิน10 โมงเช้าซึ่งก็โอเคและพอมีเวลาส่วนตัว เมื่อขึ้นเครื่องไปแล้วก็ได้ทำการอัดยานู้นนี่นั่นตามประสาคนขี้กลัว เบ็ดเสร็จวันนั้นทั้งหมด 3 เม็ดถ้วน แต่เหตุการที่ขึ้นเครื่องครั้งแรกก็ไม่เป็นดังใจอย่างที่คิดเมื่อเครื่องบินประกาศดีเลย์เนื่องจากมีผู้โดยสารบางท่านไปกับเราไม่ได้ทางเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องนำกระเป๋าของผู้โดยสารท่านนั้นออกจากเครื่องบินก่อนการเดินทางซึ่งก็ใช้เวลาอยู่เกือบ1ชั่วโมง แล้วเราก็ออกเดินทาง เป็นไปตามคาดคือเวียนหัวมากๆและต้องใช้สมาธิในการเดินทางมากถึงมากที่สุด อาหารที่มาเสิร์ฟก็ไม่ได้ทานนะคะไม่มีอารมณ์ทานแต่ก็แอบเปิดดูนิดนึงว่าคืออะไร แล้วก็ได้หยิบบางอย่างที่สะดวกใส่กระเป๋าลงมา เพื่อทานหาอาหารเวียดนามไม่ได้ 555 อย่างน้อยก็มีอาหารไทยในกระเป๋าเนอะ สุดท้ายแล้วมะเหมี่ยวก็เดินทางมาถึงสนามบินเตินเซินเญิ้ตเกือบ11โมง เมื่อลุกออกจากเครื่องบินก็ได้พูดกับตัวเองหนึ่งครั้งว่าเราต้องทำได้ จากนั้นก็สะพายเป้ที่มีน้องหมีเดินออกจากเครื่องบิน และจำคำที่พี่ที่ทำงานบอกได้ว่าให้เดินตามคนที่มากับเราบนเครื่องไปจะเจอกับที่รับกระเป๋า ซึ่งก็ไม่ได้ยินบนเครื่องประกาศว่ารับกระเป๋าที่เบอร์อะไรจึงเดินตามคนอื่นไป ยืนรอสักพักกระเป๋าของเราก็มา สบายใจไป1ด่าน จากนั้นจึงไปหาที่นั่งเปลี่ยนซิม ซิมซื้อมาจากที่เมืองไทยค่ะ ตอนแรกก็เปิดอินเตอร์เน็ตไม่ได้ กำลังจะไปซื้อเป็นซิมเวียดนามแทนเพราะต้องใช้เรียกแกรปในการไปโรงแรม แต่เปิดปิดเครื่องไปมาก็ใช้ได้จากนั้นก็สบายแล้วค่ะมีอินเตอร์เน็ตแล้ว ถึงเวลาเรียกแกรป ก็ใช้งานง่ายเหมือนอยู่เมืองไทย แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกแล้วค่ะ เพราะคนขับพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราพยายามสื่อสารกับเขาด้วยการโทรศัพท์เพื่อถามว่าเขาอยู่ตรงไหน รถสีอะไร จึงส่งข้อความหาแทน เค้าก็ไม่ตอบเรา ในแอปจะบอกเป็นป้ายทะเบียนแต่ตอนนั้นหาทะเบียนไม่เจอค่ะ ทะเบียนรถที่เวียดนามจะยาวกว่าของเรานิดนึงค่ะแต่หาไม่ยากจนเกินไป ตอนแรกก็ยืนงงอยู่ว่าจะเอายังไงดี เรียกใหม่ดีไหม แต่ก็ตัดสินใจลากกระเป๋าเดินหา เพราะตอนนั้นรถไม่เยอะมากค่ะ แต่สุดท้ายก็เจอ ทำให้เราได้รู้ว่าถึงแม้ว่าเค้าจะไม่พูดกับเราแต่เค้าก็ยังจอดรอเรา 5555 ยกของขึ้นรถ นั่งท่ามกลางความเงียบ สักแปปนึงเท่านั้นค่ะไม่ถึง5นาทีจากความเงียบก็กลายเป็นท่ามกลางเสียงแตรรถตลอดเวลาจนถึงหน้าโรงแรม 5555 วันนี้ที่มาตรงกับวันเสาร์ถือว่ารถติดไม่มากเท่าไหร่แต่รถเยอะค่ะ คนเวียดนามขับรถกันเก่งมาก ถึงแม้ว่าบนถนนรถจะเยอะ และอันตรายมากแค่ไหน แต่ตลอดการอยู่ที่นี่1อาทิตย์ไม่เคยเจออุบัติเหตุบนท้องถนนเลยสักครั้งเดียวค่ะ แน่นอนครั้งนี้ก็ถึงโรงแรมอย่างปลอดภัย ประมาณเกือบเที่ยงถ้าจำไม่ผิดนะคะ พนักงานโรงแรมต้อนรับอย่างดีและได้ทำการขอเช็คอินก่อนเวลาไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ การเช็คอินก่อนเวลาจำเป็นมากที่ต้องมีการติดต่อโรงแรมไว้ล่วงหน้า ปกติแล้วเราจะสามารถเช็คอินที่โรงแรมได้ช่วงบ่ายถ้าไม่ได้จองไว้ ห้องที่เราจองอาจจะไม่ว่างหรือยังไม่พร้อมให้เราเข้าได้ค่ะ เมื่อรถมาจอดที่หน้าโรงแรมพนักงานก็จะรีบมาเปิดประตูและยกกระเป๋าเราเข้ามา พร้อมกัลเสิร์ฟน้ำค่ะ การเช็คอินเป็นไปอย่างเรียบร้อย โรงแรมที่เราพักครั้งนี้ก็คือ Roseland Centa Hotel & Spa อยู่ที่เขต1 ซึ่งมะหมี่ยวมองว่าเขตนี้ค่อนข้างสะดวกในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งเราสามารถเดินไปได้ในระยะ2กิโลเมตรในทุกๆแลนด์มาร์ก ซึ่งตลอดการเดินทางมะเหมี่ยวใช้วิธีการเดินหมดเลยค่ะ ไม่ต้องเสียค่าเดินทางเลยค่ะ บริเวณโรงแรมมีร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ตครบ อยู่สบายๆไม่อดตายค่ะ เรื่องที่พักห้องไม่เล็กไม่ใหญ่มีหน้าต่างแต่ไม่มีระเบียง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ อยู่ได้สบายๆค่ะ สะอาด และดูปลอดภัย เตียงนุ่ม นอนสบายตลอด1อาทิตย์ มีพนักงานมาทำความสะอาดทุกวันตอนที่เราไม่อยู่ ซึ่งไม่เคยมีของหายหรือได้รับความเสียหายใดๆ ทั้งพนักงานและแม่บ้านมีความสุภาพมากๆค่ะ คิดว่าถ้ามาโฮจิมินห์อีกครั้งก็จะเลือกโรงแรมนี้ค่ะ มาดูภายในห้องพักกันนะคะ และนี่ก็คือน้องหมีผู้ร่วมเดินทางกับเราค่ะ ไม่น้องแล้วนะคะ แก่มากแล้วค่ะประมาณ8ขวบเห็นจะได้ ถึงห้องจะดูไม่ใหญ่มาก แต่อุปกรณ์ต่างๆครบ ไม่รู้สึกว่าขาดอะไรค่ะ ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำนะคะ ซึ่งเวลาอาบน้ำก็ต้องปีนเข้าไปในนี้นะคะเพราะฝักบัวจะอยู่ด้านบนค่ะ เป็นการแยกโซนเปียก ชักโครกมีสายชำระสบายใจได้ค่ะ และผ้าขนหนูแม่บ้านจะเข้ามาเปลี่ยนให้ทุกวันค่ะ ภาพนี้เป็นบรรยากาศหน้าโรงแรมตอนกลางคืน (โรงแรมเราสีเหลืองๆค่ะ) เวียดนามตอนกลางคืนจะคึกคักมาก แต่ในห้องนอนเราเงียบสงบดีค่ะ มะเหมี่ยวเป็นคนนอนหลับยากแต่ก็นอนหลับสบายตลอดทริปค่ะ ลืมบอกไปค่ะ โรงแรมมีสระว่ายน้ำที่ชั้นบนค่ะ แต่รอบนี้ไม่มีเวลาขึ้นไปใช้บริการนะคะ ล้อบบี้โรงแรม ไลน์อาหารเช้าจะเป็นนานาชาติค่ะ อาหารเวียดนามเป็นหลัก ญี่ปุ่น และทั่วๆไป ไม่มีอาหารไทยค่ะ รสชาตกลางๆสำหรับชาวต่างชาติ แต่สำหรับคนไทยคือรสอ่อนค่ะ แต่อร่อยค่ะอิ่มท้องและสบายใจทุกเช้า จากนี้ก็จะเก็บของให้เรียบร้อยและสำรวจเครื่องใช้ต่างๆในห้อง นั่งพักสักหน่อย ตอนหน้ามาออกเดินทางในโหจิมินห์ด้วยกันนะคะ ภาพทั้งหมดโดย : ผู้เขียน ไม่อนุญาตให้เอาไปใช้ในกรณีใดๆก็ตาม หากไม่ได้รับอนุญาต