คุณเคยได้ยินคำนี้ไหมครับ "ยักษ์วัดแจ้ง แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" เป็นคำพูดติดปากของคน รุ่นปู่ รุ่นย่า รุ่นตา รุ่นยาย และตามความเชื่อที่ว่า " เปรต " คือคนที่ทำบาปกรรมไว้เช่น ด่าพ่อด่าแม่ ตีพ่อตีแม่ เมื่อตายไปแล้วจะเกิดเป็นเปรตเพื่อชดใช้กรรม ปากจะเท่ารูเข็ม มือจะใหญ่เท่าใบลาน ซึ่งตามความเชื่อเหล่านี้ถูกล่าวขานไว้ที่วัดแห่งนี้ ได้ชื่อว่าเปรตวัดสุทัศน์เพราะอะไรนั้นหละเหรอ...เราจะพาไปหาคำตอบกันครับ...พิกัด : แผนที่ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร วัดสุทัศน์ พระอารามหลวง ชั้นเอก ประเภทราชวรมหาวิหาร ซึ่งเป็น ๑ ใน ๖ วัดของเมืองไทย และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๘ ด้วย วันหยุดแบบนี้อย่าช้าทีออกไปเที่ยวชมกันครับ วิธีไปก็สามารถเดินทางได้หลายวิธี ส่วนเรานั้นนั่งรถมาลงสนามหลวงฝั่งศาลหลักเมือง และเดินชมวิวตามตรอกซอยมาเรื่อย ๆ (ความชอบส่วนตัว) หาแลนด์มาร์ค ที่โดดเด่นเห็นชัดนั่นก็คือ "เสาชิงช้า" สีแดงสูงเด่นตระการตาตั้งอยู่ที่บริเวณหน้าวัดนั่นเอง โดยวัดแห่งนี้เราจะพาทุกท่านไปยังจุดใหญ่ ๆ สำคัญ ๆ ทั้งหมด ... จุด โดยเริ่มจาก 1. พระวิหารหลวง 2.โบสถ์สุริยันต์จันทรา 3.วิหารหลวงพ่อกลักฝิ่น งั้นถ้าทุกท่านพร้อมแล้วตามเรามาได้เลยครับ เมื่อเดินเข้าประตูมาเราจะพบกับ "พระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม" ถือเป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่อย่างมาก มีความกว้างถึง ๒๓.๘๔ เมตร และยาว ๒๖.๒๕ เมตร มีศิลปะและสถาปัตยกรรมที่สวยงามแบบยุคสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และจุดสำคัญที่อยู่ภายในพระวิหารหลวงแห่งนี้ที่อยากให้ทุกท่านสังเกต คือ(1) บริเวณหน้าบันของพระวิหารเป็นรูป "พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ" และหน้าบันมุขที่รองลงมาเป็นรูป "พระนารายทรงครุฑในกรอบซุ้ม" ซึ่งสัมพันธ์กับชื่อวัดคือ สุทัศนเทพวราราม(2) ภายในพระวิหาร มีจิตรกรรมเรื่องราวในไตรภูมิ เสมือนว่าที่พระวิหารแห่งนี้ภายในอาคารคือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (3) ด้านในพระวิหารหลวงมีพระพุทธรูปสัมฤทธิที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (หากนับย้อนไปก่อนสมัย ๒๕๐๐) คือ พระศรีศากยมุนี และ(4) ที่สำคัญบริเวณใต้ชุกชีหรือฐานพระพุทธรูป หากสังเกตบริเวณผ้าทิพย์สีน้ำเงิน ได้มีการบรรจุพระบรมราชสรีรางคาร (เถ้ากระดูก) ของรัชกาลที่ ๘ เอาไว้ด้วย(4) หนึ่งเดียวในโลก บริเวณด้านหลังของพระประธานบริเวณฐานชุกชีมีแผ่นศิลาโบราณสลักนูนต่ำปิดทอง มีอายุตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๒ -๑๓ เป็นศิลปะสมัยทวารวดี โดยเป็นภาพปางประทานเทศนา โปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ปางถัดลงมาเป็น ปางยมกปาฏิหาริย์ และล่างสุดเป็นปางที่ลัทธินอกศาสนามาท้าพระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์ ความสวยงามและความเก่าแก่นั้นไม่ต้องพูดถึงเลยทีเดียว(5) นอกจากนั้นยังมีรูปปั้น ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่แสดงอาการเต๊ะท่าอยู่ เสมือนว่าตอนนั้นเมื่อพบพระพุทธเจ้าครั้งแรก หลังจากพระองค์บรรลุธรรมและได้กลับมาโปรด(6) และนี่คือ "ความลับ" สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญที่เราจะมาตามหา ณ วัดแห่งนี้ อย่างที่บอกไปข้างต้น วัดแห่งนี้ที่ได้ชื่อว่า "เปรตวัดสุทัศน์ ที่แท้จริงแล้วมาจากภาพจิตรกรรมที่เสาในพระวิหารหลวง" ที่วาดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นรูปเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่และมีพระสงฆ์กำลังยืนพิจารณาสังขาร ซึ่งภาพนี้มีชื่อเสียงมากเป็นที่ร่ำลือกันว่าหากใครได้มีโอกาสมายังวิหารหลวงนี้แล้ว ต้องไปดูรูปจิตรกรรม "เปรตวัดสุทัศน์" ตามคำกล่าวที่คล้องจองกันว่า "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" ยังไงลองไปเดินตามหากันดูนะว่าอยู่ที่เสาไหนภายในพระวิหาร และจงทำดีเข้าไว้ตายไปจะได้ไม่เป็นเปรต(7) นอกจากนี้ภายในพระวิหารหลวง หากเข้ามาจากประตูหน้า เมื่อเดินเข้าไปด้านในสุดทางด้านขวา ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ คือ พระสุนทรีวาณี เป็นเทพธิดาตามคติในศาสนาพุทธในประเทศไทย มีหน้าที่คุ้มครองดูแลรักษาพระธรรมและพระไตรปิฎก (มีที่วัดแห่งนี้เป็นที่แรก) ว่ากันว่าหากเราหมั่นสวดมนต์พระคาถานี้อย่างสม่ำเสมอจะทำให้เกิดปัญญาและสมาธิโบสถ์สุริยันต์จันทรา เมื่อเสร็จจากพระวิหารหลวงแล้วเดินอ้อมมาด้านหลังจะพบทางเดินเพื่อมุ่งตรงไปยัง พระอุโบสถของวัดสุทัศน์ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น "พระอุโบสถที่ยาวที่สุดในประเทศไทย" ซึ่งมีความยาวถึง ๗๓ เมตรเลยทีเดียว และเมื่อมาถึงสิ่งที่อยากให้ทุกท่านลองสังเกตก็คือ บริเวณหน้าบันของพระอุโบสถแห่งนี้ทางด้านทิศตะวันตกจะเป็น "ตราพระจันทร์" ส่วนด้านทิศตะวันออกจะเป็น "ตราพระอาทิตย์" เสมือนว่าดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มีการโคจรรอบโลก หรือรอบเขาพระสุเมรุนั้นเอง โบสถ์นี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า โบสถ์สุริยันต์จันทรา เมื่อเราเดินถึงพระอุโบสถหลังนี้แล้ว เราจะแนะนำสถานที่สำคัญของที่นี่เป็น 2 ส่วน คือ 1. ส่วนภายในพระอุโบสถ และ 2. ส่วนด้านหลังพระอุโบสถ งั้นเราเริ่มจากเข้าไปกราบพระประธานด้านในกันก่อนเลยดีกว่าครับ ภายในพระอุโบสถมี พระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานเป็นองค์ประธาน มีพระนามว่า พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ทรงโปรดเกล้าให้สร้างพระมา และบริเวณหน้าพระประธานจะมีรูปปั้นพระสาวกอยู่ ๘๐ องค์ หรือ พระอสีติมหาสาวก ซึ่งจำลองเป็นตัวแทนพระเถรผู้ใหญ่รุ่นแรก ๆ ที่ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าสมัยพระองค์ยังมีพระชนชีพอยู่ และหากมองไปรอบ ๆ บริเวณผนังด้านในของพระอุโบสถมีภาพจิตกรรมฝาผนังที่วิจิตรสวยงามเป็นอย่างมากซึ่งเป็นฝีมือช่างในสมัยรัชกาลที่ ๓ อีกด้วย เมื่อกราบพระประธานในพระอุโบสถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้เดินเลี้ยวมาด้านหลังพระอุโบสถยังมีอีก ๓ - ๔ ไฮไลท์ที่เป็นจุดสำคัญ ๆ ของวัดสุทัศน์แห่งนี้ โดยเฉพาะสายมูจะพลาดไม่ได้ เน้นพลาดไม่ได้ สำคัญที่จะต้องแวะก่อนกลับนั่นก็คือ พระกริ่งใหญ่ องค์ท้าวเวสสุวรรณ พระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา และรูปหล่อหมอชีวก มาถึงจุดสำคัญจุดสุดท้าย ที่เราจะพาทุกท่านมาเยี่ยมชมของวัดแห่งนี้ หากใครรู้สึกว่าชีวิตติดขัดไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน การงาน ความรัก อยากตัดกรรมตัดเจ้ากรรมนายเวร อยากขอขมากรรม หรือถอนคำสัญญา ถอนคำสาบาน ที่บริเวณศาลาการเปรียญ ยังมี "หลวงพ่อกลักฝิ่น" ที่สร้างในสมัยรัชการที่ ๓ โดยใช้กลักฝิ่นที่ยึดได้จากการปราบฝิ่นในครั้งนั้นมาเป็นวัสดุหลักมาหล่อเป็นพระพุทธรูป ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระราชทานนามให้ใหม่ว่า "พระพุทธเสรฏฐมุนี" สถานที่ที่เป็นกุศโลบายให้เราพึ่งพระศาสนา และเข้าวัดเพื่อพึงประพฤติให้ดีขึ้น ปราศจากความขุ่นใจ เอาธรรมะเข้าช่วยให้เราสบายใจ แนะนำมาที่แห่งนี้แล้วเราจะดีขึ้น เป็นไงบ้างครับ เที่ยววัดเดียวแบบ one stop sevice ได้ทั้งบุญ ได้ชมศิลปะ และเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ทางประวัติศาสตร์กันไปบ้างแล้ว วันหยุดแบบนี้หากไม่รู้จะไปไหนแนะนำเลยครับวัดนี้ไม่ผิดหวังแน่นอนเวลาเข้าเที่ยวชม- ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-17.00 น.- นักท่องเที่ยวชาวไทย (ไม่มีค่าเข้าชม)- นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ (มีค่าเข้าชม 20 บาท)- ต้องแต่งกายสุภาพการเดินทาง- รถยนต์ส่วนตัว : สามารถจอดรถได้บริเวณถนนศิริพงษ์- รถประจำทาง : สาย 10, 12, 15, 19, 35, 42, 48, 73 และ 96รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่Facebook : https://www.facebook.com/WatSuthatBangkok/ภาพ : เสือซ่อนยิ้มเรื่อง : เสือซ่อนยิ้มเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !