นครพนม เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มีพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก หรือถ้าเทียบกับจังหวัดอื่นในภาคเดียวกัน ก็ถือได้ว่าเป็นจังหวัดที่ค่อนข้างเล็กเลยทีเดียว แต่จังหวัดเล็กๆแบบนี้มักจะมีเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ที่น่าสนใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ ผมเองก็ถูกเสน่ห์ของเมืองนี้ดึงดูดเข้าอย่างจัง ซึ่งผมได้ค้นพบว่านครพนมเป็นเมืองที่เสน่ห์เกิดจากความเรียบง่ายและความอบอุ่นจากขนาดเล็กๆของเมืองที่ถ้าหากมองดูอย่างผิวเผินแล้วจะเหมือนกับไม่มีอะไรที่เป็นที่น่าตื่นเต้น เร้าใจ หรือหวือหวา สักเท่าไหร่ แต่นครพนมกลับเต็มไปด้วยวัฒนธรรมท้องถิ่นมากมายหลายวัฒนธรรม และมีความหลากหลายทางชาติพันธ์ุอีกด้วย และอีกเสน่ห์ของเมืองนี้ที่ผมตกหลุมรักเลยก็คือบรรยากาศแห่งการใช้ชีวิตช้าๆ ไม่รีบร้อน ผมสัมผัสได้ว่าผู้คนในเมืองหรือแม้แต่นักท่องเที่ยวเองก็ตาม ไม่มีความรีบร้อนในการดำเนินชีวิต เพราะฉะนั้นการมาเที่ยวที่นครพนมอาจจะไม่เร้าใจอะไรมากนัก แต่จะทำให้ทุกคนที่มาเยือนได้รับความสุขจากบรรยากาศและความอบอุ่นจากเมืองนี้กลับไปอย่างแน่นอน จังหวัดนครพนมนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนาน รวมถึงสถานที่สำคัญๆทางประวัติศาสตร์ที่มากมาย 1 วันที่ไม่รีบร้อนของผมในจังหวัดนครพนม ผมเลือกที่จะเดินทางออกนอกเมืองมาก่อน เพื่อมายังวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร หรือที่รู้จักกันดีในชื่อพระธาตุพนม ซึ่งเมื่อมาถึงก็สัมผัสได้ถึงแรงแห่งความศรัธาของชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ที่ต่างมีจุดประสงค์เดียวกันในการมาที่พระธาตุพนม นั้นก็คือการมาสักการะบูชาพระธาตุนั้นเอง ตัววัดมีขนาดพื้นที่กว้างขวาง เนื่องจากเป็นพระอารามหลวง รองรับนักท่องเที่ยวได้มาก นักท่องเที่ยวที่มาสักการะพระธาตุถึงแม้ว่าจะมีจำนวนมากแต่ก็ไม่เกิดความวุ่นวายในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้จักมารยาทและเคารพสถานที่เป็นอย่างดี ในใจลึกๆของผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะบรรยากาศแห่งความอบอุ่นและความช้าได้ซึมซับลงไปในใจของคนที่มาถึงที่เมืองนี้เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ผมย้อนกลับเข้ามาในเขตอำเภอเมืองของจังหวัดนครพนมอย่างไม่รีบร้อน (เหมือนเดิม) เพื่อจะไปยังจุดเชื่อมต่อแห่งวัฒนธรรม นั้นก็คือสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 ซึ่งเป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศไทย ลาว เวียดนาม รวมถึงประเทศจีนตอนใต้ด้วย เป็นสะพานแห่งวัฒนธรรมอย่างแท้จริง บรรยากาศรอบๆก็ดีมากๆ สะพานสวย ท้องฟ้าสดใส แม่น้ำโขงที่ส่งกลิ่นอายความสดชื่นจางๆขึ้นมา หากได้นั่งพักผ่อนอยู่ที่บริเวณนี้สักหน่อยก็คงจะทำให้เรามีพลังใจเพิ่มขึ้นมา และผมก็นั่งเล่นซึมซับบรรยากาศอยู่ที่นี้นานพอสมควร (นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาถึงก็จะถ่ายรูปแล้วก็กลับกันเลย) เนื่องจากนครพนมเป็นหนึ่งในจังหวัดริมแม่น้ำโขง ความเชื่อและความศรัธาในเรื่องพญานาคจึงมีมาก ผมพบเห็นสถาปัตยกรรมตามสถานที่ต่างๆโดยเฉพาะที่วัดต่างๆ มีประติมากรรมรูปพญานาคที่สวยงามเยอะมากๆ (บ้านคนท้องถิ่นบางหลังก็มีรูปปั้นพญานาคอยู่หน้าบ้าน) แต่ละที่ก็มีความสวยงามที่แตกต่างกันไป แต่ที่ผมสะดุดตามากก็คงจะเป็นที่วัดพระอินทร์แปลง เพราะผมรู้สึกว่ารูปปั้นประติมากรรมทำออกมาได้อย่างประณีตและมีความสวยงามเป็นอย่างมาก ลายระเอียดในส่วนของเกล็ดพญานาคนั้นทำออกมาได้สวยงามทุกผลงาน สีสรรค์สดใส ราวกับเราได้เห็นเทพองค์เป็นๆกันเลยทีเดียว และที่วัดพระอินทร์แปลงแห่งนี้ยังมีตำนานของวัดอีกด้วยว่า สมัยที่สร้างพระประธานที่ประดิษฐานไว้ที่อุโบสถนั้นสร้างอย่างไรก็ไม่สำเร็จสักที ไม่ว่าจะเปลี่ยนช่างสักกี่คน ทางวัดจึงได้สร้างอุโมงค์เพื่อคลุมเอาไว้ (ชื่อเก่าคือวัดอุโมงค์) และเมื่อเวลาผ่านไปได้มีเจ้าอาวาสนิมิตฝันว่ามีพระอินทร์พร้อมด้วยเหล่าเทวดาแปลงกายมาช่วยกันสร้างพระประธาน การสร้างพระประธานจึงเสร็จสิ้นลงอย่างสวยงาม และก็ได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็นวัดพระอินทร์แปลง จากการที่ผมเดินชื่นชมวัดอย่างไม่รีบร้อน ใช้เวลานานกว่านักท่องเที่ยวคนอื่นจึงมีพระรูปหนึ่งเดินมาชวนคุยและเล่าประวัตินี้ให้ผมฟัง หากผมนำเรื่องราวมาถ่ายทอดผิดเพี้ยนไปก็ขออภัยด้วยครับ (เป็นเรื่องที่ฟังมาจากพระ ซึ่งผมไม่ได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม เพราะคิดว่ามันสนุกและมีมนต์ขลังดีครับ) อย่างที่บอกครับ นครพนมมีหลากหลายวัฒนธรรมและหลายชาติพันธ์ุ หากจะเห็นวัดจากศาสนาอื่นก็คงไม่แปลก ผมเองก็ได้แวะไปชมความสวยงามของวัดนักบุณอันนาของศาสนาคริสต์เช่นกัน ถือว่าเป็นวัดที่สวยงามไม่แพ้วัดพุทธเลยครับ ใครที่อยากมีภาพถ่ายสวยๆผมแนะนำให้มาที่นี้เลยครับ (อยู่ติดริมโขงเช่นเดียวกันครับ) และสัมผัสได้ถึงความสงบที่แตกต่างออกไป นี่ก็คงจะเป็นเสน่ห์อีกอย่างนึงของที่นี้ก็ได้ครับ และก็มาถึงช่วงเวลาที่ผมชอบที่สุด ก็คือยามเย็นที่ได้ใช้เวลาเดินเล่นบริเวณริมโขงของเมืองนครพนม ผมเคยเดินทางไปจังหวัดที่ติดริมฝั่งโขงหลายจังหวัด ซึ่งแต่ละที่ก็มีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน แต่ที่นครพนมเสน่ห์ที่ผมสัมผัสได้ก็คือความ Slow Life นี่แหละครับ ทางเดินเรียบแม่น้ำโขงที่ค่อนข้างยาวมากๆ (ตื่นมาวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าคงจะเป็นอะไรที่ดีสุดๆ) บางช่วงจะมีเนินทรายที่โผล่ขึ้นมาจากการที่ปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงลดลง เราก็สามารถลงไปเดินเล่นบนเนินทรายกันได้ด้วย ผมได้เห็นการทำกิจกรรมที่ค่อนข้างหลากหลายจากการเดินเล่นริมโขง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งออกกำลังกาย การใช้โดรนบินถ่ายภาพ การฝึกทักษะต่างๆ การล่องเรือชมทัศนียภาพ หรือการแสดงโชว์ ยิ่งทำให้เมืองมีบรรยากาศที่อบอุ่นและครึกครื้นเพิ่มขึ้นมาอีก และเมื่อเวลาเริ่มเปลี่ยนเป็นช่วงหัวค่ำ ผู้คนก็เริ่มออกมาเดินเล่นริมโขงมากขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ใช้ช่วงเวลานี้ซึบซับบรรยากาศอย่างเต็มที่ การได้ลองใช้ชีวิตอย่างช้าๆนั้นผมคิดว่าสามารถเติมแรงใจ เติมแรงไฟในการทำงานได้เป็นอย่างดีนะครับ เพราะในทุกๆวันที่เราใช้ชีวิตอยู่กับงานที่เร่งรีบ ความกดดันต่างๆที่เจอ มักจะทำให้เราเกิดความเครียดสะสมอย่างไม่รู้ตัว แต่หากเราลองออกมาจากตรงนั้นสักหน่อย ให้เวลากับตัวเองบ้าง เราก็อาจจะได้รับความสุขที่เกิดขึ้นจากตัวเองได้ครับ ผมเองก็ต้องกลับไปทำงานที่เร่งรีบแต่ก็ไม่พลาดที่จะหาโอกาสพักผ่อนหรือให้เวลากับตัวเองในการใช้ชีวิตช้าๆเพื่อเพิ่มความสุขกับตัวเองบ้าง ผมเรียกการกระทำเช่นนี้ว่า การบริหารความสุขความทุกข์ เพราะในชีวิตเราคงไม่ได้พบความสุขไปทั้งหมด แต่เราสามารถบริหารและจัดการความความสุขและความทุกข์ของตัวเองได้ หนึ่งสิ่งที่จะทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้นมาได้ผมคิดว่ามันก็คือการพักผ่อนที่ได้จากการเดินทางและการท่องเที่ยวนี่แหละครับ และใครที่สนใจพักผ่อนจากสิ่งหนักๆที่เจอ ผมแนะนำลองมาใช้ชีวิตอย่างช้าๆที่นครพนมดูนะครับ คุณอาจจะติดใจและอยากกลับมาที่นี้เพื่อเพิ่มพลังอีกก็ได้ครับ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน : GreenSongs