กลุ่มเรารอวันหยุด สุดสัปดาห์มาถึง เพื่อจะได้ชวนกัน เตรียมสัมภาระที่จำเป็น ที่จะไปค้างแรมอย่างน้อย หนึ่งคืน สิ่งที่จำเป็นเช่นเต็นท์ หรือมุ้งกันยุง ไฟฉาย ยากันยุง ยาสามัญประจำบ้าน เลือกนำไปบางอย่าง เผื่อว่ามีความจำเป็นต้องใช้ ยาแก้ท้องเสียส ยาแก้ปวด ห้วเป็นไข้ เป็นต้น เพราะวัดป่าห่างไกลตลาด หรือบางครั้งไปวัดบ้าน แต่ก็ห่างจากตลาดเช่นกัน ยิ่งวันใดฝนตกยิ่ ลำบากมาก หากไม่เตรียมตัวให้พร้อมสรรพ ครั้งนี้กลุ่มเราเดินทางไปกราบหลวงปู่ "จะแวะ"ตำบลกันทรอมน้อย อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ระยะทางจากกรุงเทพ-บ้านกันทรอมน้อย ประมาณ 550 กิโลเมตร สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ยังไม่มีชื่อจดทะเบียนเป็นทางการ ตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ ซึ่งดูแลด้วยทหาร เพราะเป็นเขตชายแดนติดกับเขตชายแดนประเทศกัมพูชา หรือเขมร ทหารแบ่งเขตป่าให้หลวงปู่ 8 ไร่ กำหนดเขตชัดเจนเป็นที่สำนักปฏิบัติธรรม และ เพื่อช่วยรักษาป้องกันป่าไมั จากการลักลอบตัดไม้ที่มีค่ามาก เช่นไม้พะยูง ไม้ประดู่ป่าต้นใหญ่มาก ต่างจากต้นประดู่บ้าน ที่เราเห็นปลูกในสวนสาธารณะต่างๆ ไม้ชิงชัน ไม้ตะแบกป่า(ชาวอีสานเรียกต้นเปือย เพราะมีกาบแก่ลอกคราบล่วงหล่นเอง) สมัยก่อนคนที่มาลักลอบตัดไม้จะมีทั้งชาวไทย และชาวกัมพูชา (ปัจจุบันคงไม่มีแล้ว)ที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน "หลวงปู่จะแวะ"ท่านเป็นที่เคารพนับถือมาก จากประชาชนทั้งสองประเทศ (ชื่อจริงของ หลวงปู่ไม่มีใครรู้จัก ทุกคนเรียกตามนี้) ไม่มีใครกล้าถามท่าน หลายครั้ง ผู้เขียนตั้งใจจะถามชื่อท่าน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านจะไม่กล้าถาม หรือไม่ก็จะลืมไปเลย ถ้าถามว่าท่านดุหรือถึงไม่กล้าถาม ท่านไม่ดุหรอก แถมท่านมีเมตตามากด้วย ท่านมีข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่งมาก ท่านฉันข้าวมื้อเดียว นั่งอยู่กับที่ได้ทั้งวัน แทบจะไม่เห็นเดินไปห้องน้ำเลย นอกจากตอนเย็นลุกไปสรงน้ำแล้วกลับมานั่งที่เดิมนิ่งๆ ยากที่ใครจะทำได้แบบนี้ ผู้เขียนเข้าใจว่า ท่านทำวิปัสสนา คือพิจารณาการเคลื่อนไหวของธรรมชาติ เช่นใบไม้ไหวเป็นต้น ทุกคนที่ไปกราบท่านเชื่อมั่นในใจลึกๆว่า ท่านได้อภิญญาแล้วหลายข้อในอภิญญาทั้งหกข้อ ของพระอริยสงฆ์ ตามผู้เขียนมาจะค่อยๆเล่าให้ฟังอย่างน่าสนใจ ท่านมีบุญบารมีมาก ธรรมะที่ปฏิบัติสม่ำเสมอยาวนานทำให้มีบุญฤทธิ์เรียกว่า "อิทธิวิธี" ข้อนี้ปรากฏให้แก่กลุ่มเราหลายครั้งแบบเนียนๆ ถ้าไม่พิจารณาอย่างละเอียดก็จะไม่เข้าใจ มีเรื่องเล่าประกอบชื่อท่านว่า มีต้นไม้ใหญ่สามต้นเกิดจากรากเดียวกัน ลำต้นตรงสูงใหญ่มาก มีลักษณะคล้ายกับต้นสำรงค์ที่อยู่ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ เมืองเก่าอยุธยา ครั้งหนึ่งในอดีตกาล มีเจ้าของขอมเดินทัพมาแวะพักแรมใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ ชาวบ้านจึงเรียกว่า "ต้นเจ้าแวะ" สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อหลวงปู่มาอาศัยอยู่ ที่สำนักปฏิบัติธรรมในปัจจุบันใกล้บริเวณต้นไม้ใหญ่ตันนี้ ชาวบ้านไม่ทราบชื่อจริงของท่าน เกรงบุญญาธิการของท่าน จึงไม่มีใครกล้าถาม ต่างก็เรียกขานท่านว่า "หลวงปู่จะแวะ" เพี้ยนมาจากคำว่า "เจ้าแวะ" นั่นเอง "หลวงปู่จะแวะ" มีอะไรๆหลายอย่างเหนือธรรมชาติคล้ายๆกับประวัติหลวงปู่สรวงเทวดาเดินดิน กลุ่มผู้เขียนจึงดั้นด้นไปกราบท่าน ไกลขนาดนั้น ซึ่งขับรถไปเองใช้เวลาเกือบทั้งวันหยุดพักระหว่างทางเพียงแวะเติมน้ำมันรถ และรับประทานอาหารจานเดียวในปั๊มเท่านั้น จะถึงสำนักหลวงปู่จะแวะ ประมาณบ่ายห้าโมง จะออกจากกรุงเทพเช้าหรือสายนิดๆก็จะถึงเวลาประมาณนี้เสมอ ไปครั้งแรกไปหลงทาง เส้นทางดินลูกลังแคบๆในสวนยาง ในเขตตำบลกันทรอมน้อย มุ่งหน้าไปทางชายแดน เชิงเขาพระวิหารด้านทิศตะวันตก ยามตะวันบ่ายคล้อย ไม่มีแสงอาทิตย์แล้ว เพราะถูกบังแสงด้วยป่ายาง และเนินเขาทุกคนเริ่มใจเสีย มองหน้ากัน จะไปอย่างไรดี ทดลองไปเส้นทางนั้นที ทางนี้ที ก็เหมือนวนมาที่เดิม ทดลองหลายทางก็ยังเหมือนเดิม ผู้เขียนได้ยินเรื่องเล่ามาว่า ถ้าท่าน"หลวงปู่จะแวะ" ไม่ต้องการให้พบเจอท่าน ก็ไม่มีทางพบเจอ แต่ถ้าท่านต้องการให้เจอ เพียงอธิษฐานครั้งเดียวก็จะมีคนมาช่วยทันที ผู้เขียนจึงเปิดประตูรถลงไปก้มกำดินขึ้นมาจบอธิษฐาน ขอให้หลวงปู่ดลใจให้ใครมาช่วย เพียงแป๊บเดียวก็มีคนขี่มอเตอร์ไซค์สวนทางมาถามว่าจะไปไหนครับ ตอบว่าจะไปกราบหลวงปู่จะแวะ ไปทางไหนครับ เขาอาสานำทางไปส่งจนถึงที่สำนักของหลวงปู่ พวกเราขอบคุณเขาคนนั้นมาก เมื่อเข้าไปกราบท่านๆถามพวกเราเป็นใคร มาจากไหนมีจุดประสงค์อันใด พวกเราจึงแนะนำตัว และขอมาพักปฏิบัติธรรมกับท่าน สามคืน ท่านก็อนุญาต และชี้แนะนำที่ตั้งเต็นท์ และให้รีบไปอาบน้ำ เดี่ยวเจ้าตัวยาวจะเลื้อยออกมาหากิน ผู้เขียนกางเต็นท์ทีฐานเจดีย์ หลังอาบน้ำสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จ เข้าไปกราบท่านอีกครั้งเพื่อสนทนาธรรมกับท่าน เพราะทราบมาก่อนว่าท่านจะไม่เทศน์ ไม่สอน นอกจากเราจะกราบเรียนถามท่าน ท่านก็จะบอกกล่าวธรรม หรือ จริยาวัตร ปฏิบัติที่ท่านได้ทำมาเป็นเวลายาวนาน บางครั้งท่านจะหายไปบนเขาพระวิหารเป็นเวลาหลายเดือน กลับลงมาพร้อมร่างกายผุดผ่องหน้าอิ่มบุญ ซึ่งชาวบ้านที่อุปถัมภ์นำอาหารมาถวายประจำเล่าให้พวกเราฟัง ครั้งหนึ่งท่านหลวงปู่พาพวกเราสร้างเจดีย์ ซึ่งไม่มีช่างมืออาชีพ ท่านให้ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยทำงานที่ปั๊มน้ำมัน ไม่เคยทำงานก่อสร้างมาก่อน จัดให้เป็นช่างสร้างเจดีย์ โดยก่อนลงมือทำงานทุกเช้า ท่านให้จุดธูป 16 ดอกตั้งจิตอธิษฐานให้เท้าวิษณุกรรมมาดลใจให้เป็นช่าง พวกเราเป็นคนขนอิฐ ผสมปูน ยกยื่นให้ช่าง เขาก็จะก่อไปเรื่อยๆไม่พูดไม่จา เคยถามเขาว่าไม่มีแปลนจะทำไปอย่างไร เขาตอบว่าไม่รู้เช่นกัน แต่มันจะทำได้เอง กลุ่มเราก็เข้าใจอัตโนมัติว่า นี้แหละบุญญาธิการความเหนือธรรมชาติ เจดีย์ที่ร่วมสร้าง ในที่สุดเจดีย์ก็เสร็จสมบูรณ์ด้วยดี แต่สิ่งที่เหนือธรรมชาติไปยิ่งกว่านั้นก็คือรูปยอดบนเจดีย์จากซู้มระฆังถึงปลายยอดสุด ไปปรากฏเด่นชัดเหมือนสลักนูนต่ำบนเปลือกของลำต้นไม้เจ้าแวะ หลวงปู่จะแวะไม่เห็นออกไปไหนเลย แต่มาบอกพวกเราว่า "เจดีย์เราเสร็จแล้ว ไปปรากฏบนลำต้นไม้เจ้าแวะแล้ว ไปดูสิ" เมื่อพวกเราไปดูเห็นรูปเจดีย์ชัดเจนบนลำต้นเจ้าแวะ ต่างอุทานเบาๆว่า ผู้มีบุญฤทธิ์ทำสิ่งเหนือธรรมชาติได้น่าอัศจรรย์จริงๆ เจดีย์ปรากฏสลักนูนต่ำบนเปลือกต้นไม้ รอยคนมาถากเปลือกไม้ไปทำยา ภายหลังหนึ่งปี พวกเราเดินทางมาไกล แต่ได้รับความสุขใจ อย่างเต็มเปรี่ยม ที่ได้มากราบพระสงฆ์สุปฏิปันโน ผู้เป็นเนื้อนาบุญของชาวพุทธที่แท้จริง บุญเป็นชื่อของความสุขภายใน คิดถึงคราวใดก็เกิดความสุขใจคราวนั้น ถ้าผู้อ่านท่านใดน้อมนำใจไปตามที่ผู้เขียนเล่ามานี้ก็จะเกิดปีติขึ้นในใจ เพียงท่านกล่าวว่า "สาธุ อนุโมทามิ" ความสุขจะเกิดขึ้นแก่ท่านภายในใจลึกๆ อย่างน่าอัศจรรย์ สุขที่จิตศรัทธาอย่างแท้จริงยากจะหาเหตุผลมาอธิบาย เพราะนี้คือพลังบุญฤทธิ์ จากเนื้อนาบุญ "พระสงฆ์สุปฏิปันโน" ภาพโดยผู้เขียน ถาวร ปิธิรโจ มูลนิธิโพธิศาสตร์ และศิษย์เก่า มจร. อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !