วันนี้จะมาแนะนำวัดชื่อดังที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานครอีกวัดนึงซึ่งเป็นวัดที่มีความเป็นมาที่น่าสนใจมาก นั่นก็คือ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร หรือที่เรารู้จักกันว่าวัดภูเขาทอง เดิมใช้ชื่อว่า วัดสะแก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และขุดคลองรอบพระอาราม แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า วัดสระเกศ ซึ่งแปลว่า ชำระพระเกศา เนื่องจากเคยประทับทำพิธีพระกระยาสนาน (อาบน้ำ) เมื่อเสด็จกรีธาทัพกลับจากกัมพูชามาปราบจลาจลในกรุงธนบุรี และเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติใน พ.ศ. 2325 ซึ่งเมื่อก่อนเคยได้ชื่อว่าเป็นวันที่มีเจดีย์รูประฆังคว่ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกแต่ด้วยความที่มันมีความใหญ่เกินไป จึงทำให้ฐานรองถล่มลงมา จึงมีขนาดเท่าเดิมมาจนถึงปัจจุบัน มาดูกันค่ะว่าบรรยากาศภายในวัดสระเกศเป็นอย่างไรกันบ้าง มีอะไรที่น่าสนใจกันบ้างมาดูกันเลยค่ะ วัดสระเกศราชวรมหาวิหารเป็นวัดที่ฉันเคยไปครั้งแรกในชีวิตเพราะตอนนั้นฉันได้ไปสอบสัมภาษณ์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ก่อนวันสัมภาษณ์ฉันได้มีโอกาสไปเที่ยวที่วัดสระเกศ ฉันเดินทางไปวัดกับรถแท็กซี่ เมื่อลงจากรถ ฉันได้เดินเข้าไปในวัดทางข้างของวัดสระเกศ บรรยากาศแรกที่ได้เดินเข้าไปภายในวัดฉันมีความรู้สึกให้ความร่มรื่น เป็นธรรมชาติดี พอเดินเข้าไปจะมีบันไดขึ้นไปยังบนภูเขาทองบันไดสูงมากกว่าจะขึ้นไปถึงบนยอดของภูเขาทองระหว่างทางเดินขึ้นไปก็จะมีการจำลองภูเขาทององค์เล็กไว้เพื่อให้คนได้แวะถ่ายรูปถือว่าเป็นจุดเช็คอินที่ดีได้เลย ขึ้นไปอีกก็จะมีระฆังเพื่อให้คนที่เดินผ่านขึ้นได้แวะเคาะเพื่อทรัพย์ เรียกเงินเรียกทอง เดินไปอีกนิดก็จะถึงจุดยอดสุดของภูเขาทอง บนสุดของภูเขาทองจะมีระฆังคว่ำอันใหญ่ตั้งอยู่ ข้างในจะมีพระประจำวันเกิดไว้ให้คนเข้าไปสักการะ และจะมีบันไดแขบๆเพื่อเดินขึ้นไปตรงบริเวณรอบๆระฆังคว่ำ รอบๆจะมีระฆังเล็กๆไว้ให้เคาะด้วยนะคะ และแถมยังมีวิวสวยๆไว้ให้ได้ถ่ายรูปกันอีกด้วยค่ะ วัดถือเป็นสถานที่ที่เปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนทุกคน วัดเป็นสถานที่ที่มีมาตั้งแต่โบราณนานมาแล้ว เราทุกคนควรศรัทธา นับถือ และช่วยกันรักษา ทำนุบำรุงวัดเก่าแก่นี้ไว้ให้คงอยู่กับประเทศไทยเราสืบต่อไปสู่เยาวชนคนรุ่นหลัง ให้ได้รู้จักกับวัดคู่บ้านคู่เมืองของไทย เพื่อแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ในความเป็นไทย ความเป็นวัฒนธรรมไทย และที่สำคัญเราคนไทยทุกคนควรช่วยกันรักษาและสืบสานพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่ไทยตลอดไป