ครั้งหนึ่งในชีวิตของผู้เป็นแม่ ที่ได้ไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง กัมพูชา ครั้งนี้มีจุดหมายอยู่ที่ เสียมเรียบ เพื่อต้องการเข้าเยี่ยมชม นครวัด ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ในการเดินทางเริ่มต้นที่ด่านช่องจอม จังหวัด สุรินทร์ คนไทยไม่ต้องทำวีซ่าน่ะค่ะอยู่ได้ 14 วัน ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 45 นาที โดยประมาณ ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากการเดินทางก็สะดวกสบาย มีแท็กซี่จากช่องจอมมาส่งถึงที่ สามารถพูดภาษาไทยได้ดีราคา 1,500 บาท ( หากไม่ใช้ช่วงเทศกาลน่ะค่ะ ) เมื่อถึงจุดหมายก็พาแม่เข้าห้างซื้อของกินเลย ที่เสียบเรียบมีห้างชอปปิ้งมากมายให้เลือกเข้าน่ะค่ะไม่ต้องเป็นห่วงเลย อาทิเช่น Lucky mall ,Angkor Market 1 , Angkor Market 2 และอีกเยอะค่ะ ช่วงเช้าวันถัดมา ได้ไปซื้อตั๋วก่อนการเข้าชมนครวัด ราคาอยู่ที่ 37 ดอลลาร์ ต่อ 1 วัน 60 ดอลลาร์ ต่อ 3 วัน และ 72 ดอลลาร์ ต่อ 1 อาทิตย์ ( หากราคาไม่เปลี่ยนน่ะค่ะ ) นครวัด ได้สร้างในปลายคริสต์ศตรรษที่ 12 โดยพระเจ้าสูรยวรมันที่ 2 เพื่ออุทิศแด่พระวิษณุ ดิฉันจะไม่ขออธิบายที่มาที่ไปให้มากนักน่ะค่ะ เพราะต้องการอธิบายถึงความรู้สึกที่ได้ไปเยี่ยมมากกว่า สถานที่แรกคือ นครวัด ใหญ่โตมาก แค่ยังไม่ได้เดินเข้าไปในตัวนครวัดก็ทำเอาเหนื่อยแล้ว กับการเดินที่ไกลพอสมควรกับคนอายุมากอย่างแม่ แต่พอได้เดินเข้าไปถึงผ่านประตูแรกเท่านั้นและ ถึงกับบอกว่าหายเหนื่อยเลยเพราะความสวยงามและต้องมนต์ขลังของนครวัด เหมือนดั่งหลงเข้าไปในยุคนั้นเลยจริง ๆ มีความสงสัยอยู่ในสมองว่าคนสมัยนั้นทำได้อย่างไร โดยไม่มี เครื่องจักรกลเหมือนสมัยนี้ ทุกคนคงอดทนมากจริง ๆ และข้างในยังมีพระสงฆ์ที่คอยให้พรและลดน้ำมนต์ให้อีกด้วย ทุกจุดเต็มไปด้วยการแกะสลักแบบสวยงาม แต่ก็มีให้เห็นแบบบาง ๆ ไม่ได้ชัดเด่นจากกาลเวลา แต่ก็ยังมีเจ้าหน้าที่คอยบำรุงรักษาอยู่ตลอด จุดที่สวยที่สุดคือ จุดยอดปราสาทที่ต้องขึ้นด้วยบรรได ของเจ้าหน้าที่ ที่เตรียมไว้ ด้วยความที่สูงมากจนแม่ไม่กล้าขึ้นไป ได้แต่รอดิฉันด้านล่าง เพราะขาไม่เป็นใจ ด้านบนมีองค์พระวิษณุ (ขอภัยหากกล่าวผิดน่ะค่ะ ) องค์ใหญ่ให้ผู้คนได้บูชากราบไหว้ สามารถเดิน 3 รอบเพื่อเป็นสิริมงคล ( ทำตามคนเขมรที่ไปชมค่ะ ) วิวทิวทัศน์สวยงาม ลมเย็น หน้าค้นหาทุกจุด มองลงด้านล้างแล้วใจหวิวเพราะความสูง หากใครมานครวัดต้องอย่าพลาดจุดสูงสุดน่ะค่ะ สถานที่สอง คือ ปราสาทบายน ปราสาทที่มีขนาดใหญ่พอสมควรร่มรื่นเย็นสบายเช่นกันอีกแห่งหนึ่ง ปราสาทแห่งนี้จะอดอมยิ้มไม่ได้ รึก็ยิ้มอยู่คนเดียวเพราะปราสาทแห่งนี้มีภาพหน้าอยู่เต็มไปหมด มีความรู้สึกเหมือนมีใครยิ้มอยู่ รึเป็นการยิ้มเพื่อต้อนรับผู้คนที่มาเยี่ยมชม แล้วเราต้องยิ้มตอบกลับ คอยดูแลและปกป้องทุกทิศ ด้วยภาพหน้าที่คอยจับตาดูเราอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะหน้ากลัวหากได้อยู่ที่นี้คนเดียว แต่กลับรู้สึกปลอดภัยเสียมากกว่าอีก ด้วยสายตาของผู้พิทักษ์ปราสาท ซึ่งเป็นจุดเด่นของ ปราสาทที่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาได้เป็นอย่างดี ที่สุดท้าย คือ ปราสาทตาพรม ปราสาทที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้น้อยใหญ่เพิ่มความร่มรื่นเข้าไปอีก ลึกลับซับซ้อนหน้าค้นหาอีกปราสาทหนึ่งก็ว่าได้ คนเขมรเชื่อกันว่าเป็นต้นไม้อันศักดิ์สิทธิที่คอย ปกป้องปราสาทนี้ไว้ โดยการขึ้นปกคลุมตัวปราสาทไว้มิให้พังทลายลงตามกาลเวลา แต่ด้วยน้ำหนักของต้นไม้ก็อาจทำให้ตัวปราสาทรับน้ำหนักไม่ได้จนต้องบำรุงรักษาให้คงอยู่ยาวนาน แต่ก็ยังมีบางจุดที่พังลง มีเสียงนกร้องอยู่ตลอดเวลาเพิ่มความรู้สึกอันน่าทึ่งของผู้มาเยือน เป็นปราสาทที่อยู่ท่ามกลางป่าไม้เขียวที่สวยงามที่สุด ก็เห็นจะว่าได้ แม้ว่าเวลาในการเยี่ยมชมภายใน 1 วัน จะไม่ครบทุกที่ก็ตาม แต่ความรู้สึกก็ยังคงอยู่กลับสถานที่แห่งนี้ไปอีกยาวนาน และจะกลับมาอีกเมื่อมีโอกาส นครวัด นครแห่งมนต์ตรา