เหมืองปิล๊อกเมื่อปลายฝนต้นหนาว.... ณ ภาคตะวันตกของสยามประเทศ อำเภอที่ติดชายแดนและมีเรื่องราวต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน ระยะทางห่างจากกรุงเทพประมาณ 350 กิโลเมตร คือความไกลของระยะทางของจุดหมายที่เราจะไป เราเลือกออกเดินทางจากบ้านพักแถว ๆ รังสิตประมาร 03.00 ที่เลือกออกเดินทางแต่เช้ามืดแบบนี้เพราะคิดว่าการจราจรของรถบนถนนน่าจะโล่ง ๆ จะได้ไม่ต้องเร่งรีบอะไรมากนัก จุดพักรถที่คุ้นเคย หลังจากที่ต้องหูอื้อบ้างตอนรถขึ้นชันตามแนวเขา หัวคลอนบ้างตามแนวโค้งเพราะทางของถนนนั้นเลี้ยวคดซับซ้อน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 - 7ชั่วโมงจากกรุงเทพ แบบแวะพักไปเรื่อย เข้าสู่ถนนสาย กจ.4088 ทองผาภูมิ อันที่จริงเราว่าเส้นทางนี้ขับไม่ได้ยากมากนัก ถ้าไปเทียบกับถนนเส้นภาคเหนือ ถ้ารถมีกำลังหน่อยเราว่าไปได้ ลากกันมายาวนานแวะพักเข้าห้องน้ำให้พี่หัวหน้าทริปได้พักเท้ากันก่อน บริเวณจุดพักนี้คือที่พักประจำเวลามาเที่ยวแถบโซนนี้เพราะเราว่าบริเวณตรงนี้เป็นมันสวยมากกว่าจุดพักรถธรรมดา ๆ ทั่วไป จริง ๆ นับว่าเป็นจุดชมวิวดี ๆ ที่นึงเลยทีเดียว เพราะหากมองทอดสายตาออกไปมันเป็นวิวที่เขียวขจีสวยสดงดงามมาก ๆ เลย บ้านอีต่องทองผาภูมิ นาฬิกาบอกเวลาประมาณ 14.00 น. เอาหละถึงที่หมายสักที รีบขนของเข้าที่พัก ความง่วง ความหิว และความเมื่อยล้า จะถูกเยียวยาด้วยอาหารอร่อย ๆ ตอนนี้อะไรก็ยอมกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น งั้นแวะร้านอาหารสั่งเมนูประจำง่าย ๆ อย่างปลาคัง ไข่เจียว และอีกสัก 2 - 3 อย่าง จากนั้นค่อยไปย้อนวันวานกับ บ้านอิต่อง ณ เหมืองปิล็อก ในนิทราอีกสักครา เมื่อท้องอิ่มหนังตาหย่อน พุ่งเริ่มป่องสบายตัวแล้ว รอดไปอีกหนึ่งมื้อ งั้นขอแวะเข้าไปหลับพักสายตาสักหนึ่งตื่น พอฟื้นขึ้นมาแล้วเราจะพาทุกท่านไปตามจุดสำคัญต่าง ๆ ของหมู่บ้านกลางหุบเขาที่มีชื่อเสียงแห่งนี้อีกที เหมืองปิล๊อกยามสนธยา ที่แรกที่จะพาไปหลังจากแอบไปพักสายตาตื่นมาอีกทีก็เกือบ ห้าโมงกว่า สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกหนึ่งจุดที่ทิ้งร่องรอยของอาชีพการขุดแร่ในวันวานไว้ให้คนรุ่นหลังได้เห็นถึงยุครุ่งเรืองของการทำเหมืองแร่ และที่นี่ถูกขนานนามว่า เหมืองปิล๊อก เวลาผ่านไปจากเหมืองเก่าที่เป็นอาชีพสำคัญ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป และกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ที่หลงเหลือซากอุปกรณ์ เครื่องมือ และอาคารเก่าสุดคลาสสิกที่ไว้ให้เราได้รับชม นอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ มีภูเขาโอบล้อมคงไว้ซึ่งความสวยงาม และความสดชื่นของธรรมชาติ และอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ในไฮไลท์ บ่อน้ำและลำธารใสมีฝูงปลาคาร์ปสีสันสดใสออกมาแหวกว่ายโชว์ตัวให้เราได้รับชมกัน ปิล็อกยามราตรี หลังจากเดินออกจากเหมืองแร่พระอาทิตย์ก็จับที่ริมขอบฟ้าเสียแล้ว ณ หมู่บ้านอีต่องมีตลาดคนเดินยามค่ำคืน ร้านค้าของชาวบ้านต่างเริ่มทยอยกันเปิดไฟพร้อมให้บริการต่าง ๆ แก่ผู้มาเยือนอย่างเต็มที่ บนถนนคอนกรีตผู้คนเริ่มเดินกันขวักไขว่ออกมาจับจ่ายเลือกซื้อสินค้า เลือกกินอาหาร และชื่นชมวิถีชีวิต สระน้ำกลางหมู่บ้านเมื่อแสงไฟสีส้มสาดสะท้อนเปื้อนผิวน้ำระยิบระยับผสมสะท้อนเปื้อนเงาของตึกรามที่ทอดปรากฏทำให้ดูสวยงามตรึงตาไปอีกแบบ นักท่องเที่ยงอย่างเรา ๆ ก็ออกเดินช็อปปิ้ง หาเสบียง เครื่องดื่มและเครื่องเคียงให้พร้อมเพียง เสียงร้องของท้องส่งสัญญาณเตือนว่าเริ่มหิวแล้วนะ บรรยากาศแบบนี้ มื้อเย็นของเราก็คงไม่พ้นอาหารต้องห้าม อย่างเมนูหมูกะทะอย่างเคย สะพานป้ายไม้ หากเวลามาเที่ยวแล้วเราตื่นเช้าเราจะได้เปรียบหลายประการ เช่น ได้ซึมซับและสัมผัสธรรมชาติแบบสดชื่นเช้านี้หมอกไม่หนาเหมือนคราวก่อน (เขาว่าถ้าอยากได้หมอกหนาต้องมาช่วงสิงหาคม) จุดหมายยามเช้าของเรา คือการนั่งรถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เนินช้างศึก รถที่จะพาเราไปยังจุดหมายมีให้บริการอยู่บริเวณสะพานไม้เหมืองแร่ ใกล้ๆ กับสะพานไม้แขวน ที่นักท่องเที่ยวจะนิยมไปเขียนแผ่นป้ายแล้วนำไปแขวนที่ราวสะพานที่อยู่บริเวณริมบึงน้ำกลางหมู่บ้าน ราคาค่ารถคิดต่อหัวคนละ 50 บาทเป็นตั๋วขาไปและกลับ รถเต็มรถออก โชคดีเมื่อเราไปถึงเพื่อนร่วมทริปท่านอื่นก็มารอขึ้นรถเต็มพอดี ก่อนกลับ หลังจากกลับลงมา เก็บของเตรียมเช็คเอาท์ เราก็ไปทานอาหารเช้าของโรงแรมตอนที่แดดยังไม่แรงมากนัก หรือหากใครยังไม่รีบกลับ บริเวณหมู่บ้านก็จะมีวัดที่เดินขึ้นไปบนเขาก็สวยงามไปอีกแบบ หรือหากพักต่อ บริเวณใกล้ ๆ ที่บ้านอิต่องนี้ก็จะมี น้ำตกจ๊อกกระดิ่น อยู่ใกล้ ๆ หากใครสนใจลองแวะไปได้รับลอง เล็กพริกขี้หนูแน่นอน ขอให้ทุกท่านเดินทางปลอดภัย เที่ยวให้สนุกนะครับ ภาพ : เสือซ่อนยิ้ม เรื่อง : เสือซ่อนยิ้ม อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !