รีเซต

จาก ม่อนจอง ถึง เปเปอร์..อุ่นไอหนาวใต้ดาวเดือนมิตรภาพ

จาก ม่อนจอง ถึง เปเปอร์..อุ่นไอหนาวใต้ดาวเดือนมิตรภาพ
bOyziie
21 ธันวาคม 2559 ( 10:07 )
3.4K

อำเภออมก๋อย เป็นอำเภอเล็กๆในจังหวัดเชียงใหม่ ที่อุดมไปด้วยยอดดอย และทางเถื่อน วันนี้ทีมงาน Travel Truelife ได้ไปขออนุญาติสมาชิกท่านหนึ่งมีนามว่า เตี้ย ล่ำ ดำ แก่ หนึ่งในสมาชิกนักรีวิวเก่าแก่ของเว็บไซต์ Pantip.com ที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาแล้วทั่วประเทศ และทุกประเทศเพื่อนบ้านของเรา มาฟังเรื่องราวของเขากัน

 

 

เมื่อเหมันต์ฤดูมาเยือน..จิตใจที่ใคร่อยากเดินทางกับพี่น้องผองเพื่อนเคมีเดียวกันมันก่อเกิด สถานที่นั้นจะเป็นที่ใดก็ได้ ขอให้ได้เสพลมหนาวสัมผัสผิวกาย และมีผองเพื่อนนั่งเม้าท์มอยอยู่เคียงข้าง ภายใต้แสงดาวในค่ำคืนที่เย็นยะเยือก และนั่นคือ ปฐมบทแห่งการเดินทางของพวกเรา

 

 

” พี่ๆ ไปดอยม่อนจองไหม ” ตัวอักษรจากไลน์มาทายทักให้ได้ใช้ความคิดจากที่เคยเห็นรูปภาพผ่านสายตามาบ้าง ดอยนี้ก็หาใช่มีความสวยงามเป็นรองดอยอื่น คิดอยู่วันสองวันก็ตอบตกลงและตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ แต่โชคไม่ดี การเดินทางครั้งนี้แทบไม่มีคนสนใจร่วม จนวินาทีสุดท้ายคืนก่อนเดินทาง เกือบจะยกเลิกทริปแล้ว มีเสียงปลายสายขอเข้าร่วมด้วยหลายคนและเป็นคนรู้จักมักจี่สนิทสนมกันแทบทั้งสิ้น..เป็นอันแฮปปี้ แต่ยังไม่เอนดิ้งกันไป

 

วันที่ ๑ บนเส้นทางสาย ๑๐๕ จาก “กรุงเทพ” สู่ “แม่สะเรียง”

 

เสียงเครื่องยนต์ครางหึ่งๆที่รอบเรดไลน์ ที่ความเร็วร้อยเดียวตลอดทาง มันเป็นความเร็วสูงสุดที่กลุ่มรถของกระผมจะสามารถกระทำได้ บางคันรถใหม่แต่มีแรงแค่นี้ บางคันมีพลังมากกว่านี้ แต่กาลเวลาก็พรากความสดไปจากมัน เจ้า Spark ๑๓๕ อายุย่าง ๑๑ ขวบซ้อนสองของผมก็เช่นกัน..และกำลังวังชาของกระผมเองก็เช่นกัน ดังนั้น บนระยะทางกว่า ๑,๖๐๐ กิโลเมตรที่กำลังจะเกิดขึ้น มันเป็นความสนุกอีกอย่างของผู้ขับขี่ที่ จะใช้ทุกหยดหยาดพลังงาน ไม่ว่าจะพลังงานน้ำมัน .. พลังงานอากาศพลศาสตร์ .. พลังงานจลน์ .. พลังงานศักย์.. มีอะไรควักออกมาใช้ให้หมด เพื่อให้รถรักษาความเร็วที่หนึ่งร้อยไว้เสมอ..

 

 

เรียนตามจริงว่า วันแรกไม่ได้สตาร์ทกันตอนเช้า หากแต่เป็นเย็นย่ำของการทำงานในวันศุกร์ความตั้งใจเริ่มต้นคือล้อหมุนแต่พลบค่ำ แต่วิบากกรรมของหลายๆ คน บางคนติดงาน บางคนรถชน บางคนรถไฟขาดก่อนออกจากปั๊มแรก บางคนหลงไปสระบุรี!!!! เรียกได้ว่า สะเปะสะปะกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง และอานิสงค์พลังงานการหมดปลอก ช่วยให้เรามาถึงเมืองชากังราว จุดพักครึ่งทางแห่งการขึ้นเหนือและ “เรือนฬฬิฬ” ห้องพักไม้สไตล์สไตล์เหนือล้านนา ๑ ห้อง นอนได้ ๔ คน แอร์ น้ำอุ่น กาแฟ อาหารเช้า( มาม่า )พร้อม ตกค่าใช้จ่ายต่อคน ๗๕ บาทต่อคืน!!!ช่างเหมาะเจาะกับนักบิดยาจกพวกนี้เสีย เหลือเกิน

 

 

บนเส้นทางสาย ๑๐๕ แม่สอด – แม่สะเรียง ถนนเรียบชายแดนที่เคยเดินทางได้ยากลำบาก เนื่องจากสภาพถนนที่ไม่ดีนัก หากแต่ในปัจจุบัน ตัวถนนที่ทอดผ่านหลายๆ หมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง ได้รับการปรับปรุงจนแทบจะเรียบเนียนตลอดทั้งเส้น มีเพียงการก่อสร้างบางช่วงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ยังประโยชน์ให้มอไซค์น้อย ต่ำร้อยห้าสิบซีซีทั้งหกคันทำเวลาได้พอสมควรบนเส้นทางอันคดเคี้ยวแต่มากด้วยความสวยงามตามรายทาง

 

 

ดวงตะวันคล้อยต่ำใกล้ลาลับ เรามาถึงเมือง “แม่สะเรียง” และมุ่งหน้า “อุทยานแห่งชาติสาละวิน” ในวันที่เราไปถึง นั้นเงียบสงัดไร้ผู้มาเยือนแม้จะเป็นเทศกาลหยุดยาวก็ตามที ( ๑๐ ธันวาคม )

 

 

วันที่ ๒

ตามกำหนดการ เราจะต้องเริ่มเดินขึ้นดอย “ม่อนจอง” ซึ่งอยู่ในเขต อ. “อมก๋อย” ซึ่งห่างออกไปจากตัวอำเภอ “แม่สะเรียง” และ อ.ช. “สาละวิน” ๒๐๐ กิโลเมตร ภายในก่อนเที่ยง หากแต่บรรยากาศยามเช้าของอำเภอแม่สะเรียง ผูกรั้งไม่ให้เราอยากจะเคลื่อนขบวน โดยร้านอาหารเก่าไร้ชื่อตัวเรือนร้านทำด้วยไม้ดูคลาสสิคแห่งหนึ่งบริเวณปากทางเข้าอำเภอแห่งหนึ่ง

 

 

อาหารเหนือถูกนำมาเสิร์ฟจานแล้วจานเล่า ไม่ว่าจะเป็น ไส้อั่วกลิ่นหอม แอ็บหมูห่อใบตองกลิ่นละมุน หมูทุบ หมูย่าง ลาบคั่วรสชาติอ่อนละไมตามสไตล์ภาคเหนือหลั่งไหลมาไม่ขาดสายตามออเดอร์ของคนสั่ง ทั้งหมดทั้งมวล ๑๑ คนกินเข้าไปน่าจะไม่ต่ำกว่า ๓๐ จานได้ แต่สนนราคาคิดออกมาตกเพียงคนละ ๑๐๐ บาท ซึ่งถือว่าไม่แพงเลย…ไม่เพียงแต่เราที่มาเยือนร้านนี้ แม้แต่คนในท้องถิ่นเองก็มาซื้อหาอาหารเช้าที่ร้านนี้กันอย่างไม่ขาดสายเช่นกัน

 

 

บนเส้นทางที่ยาวไกลกว่า ๒๐๐ กิโลเมตรที่เรามีเวลาเพียง ๓ ชั่วโมงเท่านั้นต้องไปให้ถึงก่อนเที่ยงๆ บ่ายๆ ไม่ยากเลยสำหรับมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เครื่องแรง หากแต่มอเตอร์ไซค์เล็กซ้อน ๒ สัมภาระตระเตรียมขึ้นดอยเต็มคันรถนั้น ฉุดรั้งการทำความเร็วพอสมควร บนถนนสาย ๑๐๘ เราตีไฟเลี้ยวขวาอย่างไม่รอรี มุ่งสู่ อ. อมก๋อย เราแวะซื้อเสบียงบางส่วนที่ตัวอำเภอและเส้นทางผ่านเพื่อใช้สำหรับเป็นมื้อเย็นและมื้อเช้าบนยอดดอย ส่งผลให้ทำเวลาได้ช้าขึ้นไปอีก

 

 

ในที่สุดเราก็มาถึงปลายทางของเรา “หน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ” ซึ่งตั้งอยู่บนยอดดอยสูงบริเวณถนน อมก๋อย – แม่ตื่น และการเดินขึ้นสู่ม่อนจองของเราเริ่มต้นที่นี่ บนท้ายรถกระบะ 4WD กว่า 10 ชีวิตยืนและนั่งปะปนกันมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางซึ่งห่างไป ๑๑ กิโลเมตร
เพื่อย่นระยะทางในการเดินขึ้นสู่ยอดดอยม่อนจอง สนนราคาในครั้งนี้มูลค่า ๓,๐๐๐ บาท ( ตกคนละ ๓๐๐ บาทสำหรับก๊วนเรา ) “พี่ๆ เอาดาวลอยไหม” เสียงเอื้อนเอ่ยมาจากลูกหาบที่ห้อยโหนอยู่ท้ายรถยามวิ่งผ่านหมู่บ้านมูเซอ “ดาวลอย” หรืออีกนัยหนึ่งตามความเข้าใจผมคือ “เหล้าดอย” ถูกซื้อหามาทดลองด้วยมูลค่า ๕๐ บาทและกับปริมาณครึ่งลิตร ซึ่งถือว่าราคาถูกเป็นอย่างมาก

 

 

บรื้นนนนน…เสียงเครื่องยนต์ดีเซลที่ดังกระหึ่มส่งกำลังผ่านเกียร์ ๑ และเสริมทัพด้วยเกียร์โลว์เข้าไปอีกชั้นเพื่อลากน้ำหนักตัวกว่า ๒ ตันขึ้นดอยที่สูงชัน นับเป็นเส้นทาง ๔ วีล ที่โหดหินที่สุดเท่าที่ผมเคยนั่งรถ ๔ วีลมา รถของเราค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านสันเขา ป่าสน อย่างเชื่องช้า รวมระยะเวลาเดินทางสิบกว่ากิโลเมตรใช้ เวลาไปประมาณ ๑ ชั่วโมง พวกเราลงความเห็นกันว่า การนั่งรถ ๔ วีล ครั้งนี้ เหนื่อยกว่าขี่มอเตอร์ไซค์มาจากกรุงเทพเสียอีก

 

 

เส้นทางสูงชันมากในบางจังหวะรวมถึงร่องน้ำลึก บอกได้เลยว่า หากเป็นมอเตอร์ไซค์คงไม่รอดแน่นอนสำหรับผม

 

 

กับระยะทางทั้งหมด ๔.๕ กิโลเมตร เราข้ามผ่านป่าสนจนหลุดออกมายังทุ่งโล่งแจ้ง แต่เต็มไปด้วยพุ่มไม้รอบกายประดับประดาไปตามเส้นทางเดินที่ทอดยาว เริ่มมีทิวเขาแนวยาวอันแสนกว้างไกลให้ได้ทอดสายตาและสูดลมหายใจเอาลมเย็นเข้าไปฟอกปอดที่พอกหนาไปด้วยควันรถยนต์จากเมืองกรุง

 

 

ข้ามผ่านทุ่งโล่งสลับป่าโปร่งเป็นระยะ ในที่สุดกับระยะทางประมาณครึ่งทางเราเริ่มเข้าสู่เขตสันเขาทุ่งหญ้า กับตะวันที่เริ่มจะคล้อยต่ำลงทุกที เพราะกว่าเราจะเริ่มต้นเดินกันก็เป็นเวลาบ่าย ๓ เข้าไปแล้ว จะทันชมอาทิตย์อัสดงลาลับขอบฟ้าหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับฝีเท้าของเราแล้ว…

 

 

เบื้องหน้าที่ฉายให้เห็นสู่สายตาเป็นเนินเขาโล่งเตียนสูงชันซึ่งถูกขนานนาม ว่า “เนินหมาหอบ” ผมกระหยิ่มในใจว่า โชคดีที่หมาหอบ แต่คนคงไม่หอบ แต่วินาทีที่ชายชราหน้าตาบ้านๆแถมกลัวความสูงต้องผ่านบางจุดที่มีความชัน ประเมินด้วยสายตาคร่าวๆ ไม่น่าต่ำกว่า ๔๕ องศา จำต้องคลานสี่ขา ความเหนื่อยล้านั้นมาจากไหนก็ไม่รู้ สงสัยหมาที่ว่า คือ เรานั่นเอง…

 

 

อนิจจาตัวเราเดินตัวเปล่าเล่าเปลือย ยังเหนื่อยแทบขาดใจ ไฉนเลยเหล่าลูกหาบที่ต้องแบกน้ำหนักตามข้อตกลงไม่เกิน ๒๐ กิโลกรัม ในราคาวันละ ๖๐๐ บาท จะไม่เหนื่อย ในบางครั้งโลกก็มิได้ให้ทางเลือกกับบางชีวิต หากแต่นั้นเป็นมุมมองจากสายตาผู้มาจากแดนที่เขาว่าศิวิไลซ์ ใครจะรู้ บางทีเขาอาจมีความสุขมากกว่าคนเมืองอย่างเราก็ได้…

 

 

เมื่ออาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้า นับเป็นโชคดีของเราที่ได้มาเห็นปรากฏการณ์ทุ่งหญ้าเปลี่ยนสีจากผืนหญ้าที่เขียวขจีกลายเป็นสีทองอร่าม อนึ่ง รูปภาพด้านล่างมิได้แต่งแต้มเติมสีแต่อย่างใด หากแต่เป็นสีสันจริงที่อาจจะไม่งดงาม เท่าของจริงที่ถ่ายทอดผ่านกล้องคอมแพ็คบ้านๆตัวน้อยๆ ออกมาเท่านั้น

 

 

รูปถ่ายที่มีคุณค่าของผมหาใช่รูปถ่ายที่สวยงามราวกับสวรรค์ หากแต่เป็นรูปที่ถ่ายทอดความจริงในห้วงหนึ่งของความทรงจำตามสีสันและประสบการณ์ที่พาดผ่านเข้ามาในชีวิตจริง อย่างไรก็ดี แม้วิวไฟเด้อร์จะเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดภาพถ่ายสู่ผู้อื่น แต่ก็อย่าลืมละสายตาจากมันมาถ่ายทอดความทรงจำให้แก่ตัวเองบ้าง แม้ภาพถ่ายจะถ่ายทอดความสวยงามของสถานที่ได้มากขนาดไหน แต่ก็มิอาจเทียบได้กับความทรงจำที่ลงลึกและสัมผัสกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งในบางครั้งแม้ผมเองซึ่งมิอาจเรียก ตัวเองได้ว่าช่างภาพ แต่ในบางครั้งก็หลงลืมไปเพียงเพราะอยากจะได้ภาพถ่ายสวยๆ ไปอวดโชว์ชาวบ้านเขา

 

 

ภายใต้ท้องฟ้าที่ฉาบเคลือบด้วยแสงทองอันแดงฉาน หากแต่ความสุขของเหล่าผู้คนยังคงดำเนินต่อไป หาได้ลาลับไปกับดวงตะวัน ภาพจริงสีจริงไร้การแต่งแต่มสีสันเพิ่มเติมยังคงฉายชัดในมโนความทรงจำผมต่อไป

 

 

จากยอดดอยทุ่งหญ้า เดินลัดเลี้ยวเข้าไปในพงป่าทึบ ไม่ไกลนักคือสถานที่กางเต้นท์แบบที่ไม่เคยเห็นที่อื่นมาก่อน ( ส่วนใหญ่มักจะเห็นแต่ลานทุ่งหญ้า ) หากแต่สามารถให้ความอบอุ่นและเป็นกำบังสายลมหนาวที่พัดโชยบนยอดดอยทุ่งหญ้าได้อย่างดี เรากลางเต้นท์กันท่ามกลางความมืดและทำอาหารกันท่ามกลางแสงจากกองไฟ เสียดายที่การพูดคุยเมาท์มองรอบกองไฟออกรสชาติจนไม่ได้ถ่ายรูปไว้แต่อย่างใด

 

 

วันที่ ๓

ราตรีที่หนาวเหน็บกับอุณหภูมิแตะเลขตัวเดียวผ่านไป เราลากเอาร่างออกจากถุงนอนที่เสียตังค์เช่าถึง ๑๐๐ บาทจากตีนดอยแต่กลับคุ้มค่าเมื่อต้องมาเผชิญอุณหภูมิอันหนาวเหน็บ กว่าจะเอาตัวออกจากเต้นท์ได้ก็เป็นเวลา ๖ โมงแล้ว บริเวณจุดกลางเต้นท์เงียบสงัดเพราะผู้คนน่าจะออกมากันตั้งแต่ตี ๕ กันแล้ว รีบกุลีกุจอเดินออกมาจากจุดกางเต้นท์ มุ่งหน้า “ผาหัวสิงห์” แต่อนิจจามาช้าไป ดวงตะวันเฉิดฉายระหว่างทาง!!!

 

 

จากยอดสูงสุด ทอดสายตายาวไกลไปเบื้องล่าง เห็นทะเลหมอกแห่งตำบลแม่ตื่นแผ่กระจายอยู่เบื้องล่าง วิวนี้ บรรยากาศนี้ จะชมมุมไหนก็สวยงามเสมอ หากแต่ถ้ามีกลิ่นไอแห่งมิตรภาพและคำพูด หยอกเย้ากันของมิตรสหายคอเดียวกันแต่ง เสริมเติมเข้าไป การท่องเที่ยวนั้นจะยิ่งออกรสที่หอมหวลยิ่งขึ้น

 

 

เนื่องด้วยบางคนจำเป็นต้องกลับกรุงเทพในวันนี้ เราพยายามทำเวลาไปถึงด้านล่างให้เร็วที่สุด เราใช้เวลาเดินผ่านบรรยากาศและทิวทัศน์เดิมเฉกเช่นขามาแต่หากเป็นความเร็วที่เปลี่ยนไปตามพลังแรงโน้มถ่วงโลก ๒ ชั่วโมงเราก็มาถึงจุดที่ต้องขึ้นรถ ๔ วีล ๑๓ นาฬิกา เราเดินทางถึง “หน่วยพิทักษ์ดอยมูเซอ” การเดินทางอันแสนหฤโหด ยังคงรอเราอยู่เบื้องหน้า…

ไปให้ถึง บ้าน “พะกะเช” ( เส้นใต้สีเขียว ) แว่วเสียงเจ้าหน้าที่หน่วยวาดแผนที่และแนะนำเส้นทาง จากนั้น กลุ่มที่จะขี่กลับ “กรุงเทพ” ให้เลี้ยวซ้ายไปทาง “แม่ระมาด” ซึ่งทางดีแล้ว เกลี่ยใหม่ๆ นั่นคือคำบอกเล่า…. ส่วนใครที่จะไป “ดอยเปเปอร์” และวัด “โฆ๊ะผะโด๊ะ” ให้เลี้ยวขวา
ทางลูกรัง แย่หน่อยนะ แต่ไม่เท่าไร คำบอกเล่านี้ทำให้เราใจชื้นขึ้น แต่ๆๆๆๆ หลังจากดอยเปเปอร์ไป ให้ระวัง!!!!!! มีทางช่วงหนึ่งเป็นทางปูน อันตรายมาก!!!! ( สีแดง ) ถ้าผ่านไปได้ ก็จะออกสู่ถนนใหญ่เส้น ๑๐๕ และกระดาษแผ่นนี้ คือลายแทงกำหนดชีวิตของเรา

 

เราสับเกียร์ต่ำเพื่อไหลลงมาตามทางลาดยาง จากยอด “ดอยมูเซอร์” ไหลลงมาผ่าน “ตำบลแม่ตื่น” ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ “ลำน้ำแม่ตื่น” อันสวยงาม แต่น่าเสียดาย ที่ตะวันเริ่มจะคล้อยต่ำขณะที่เป็นเวลาใกล้ๆ บ่าย ๓ หากแต่เรายังมิได้ กินข้าวเที่ยงและ ยังไม่พ้น ต. แม่ตื่น เวลาในการซึมซับความสวยงามจงแทบไม่มี

บนถนนฝุ่นหนาที่มีร่องน้ำพาดผ่านให้ได้ใจหายเล่น และเนินสูงชันอันตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
ขอเพียงอาศัยการชาร์จความเร็วที่เพียงพอ ไม่ว่าจะรถขี่คนเดียวหรือซ้อนสอง ก็พอจะผ่านไปได้หากแต่อาจจะมีอาการเฮือกสุดท้ายให้ได้เสียวเล่นบ้าง พอเป็นกระสัย

 

 

อาทิตย์ที่คล้อยต่ำฉาบเคลือบถนนฝุ่นหนา ให้ส่องประกายสีทอง ภายใต้ความงามนั้นแฝงไปด้วยความยากลำบาก ในการควบคุมรถโดยเฉพาะจุดลงทางชัน ตัวรถเลื้อยไปก็เลื้อยมา… พร้อมจะล้มคะมำได้เสมอ

 

 

“บาโกร” นามของหมู่บ้านไร้ไฟฟ้าแห่งหนึ่งบนเส้น ที่พาดผ่านร้อยภูเขากับ ๑ ลำห้วย

ผม : “ขอโทษครับ โฆ๊ะผะโด๊ะอีกไกลไหมครับ”
ชาวบ้าน : “กา” (ไกล)
ผม : “แล้วทางเป็นยังงัยบ้าง”
ชาวบ้าน : “ดีเหมิงที่มาน่านแล”
ผม : !#@#$#%$%

 

 

การจอดรอหลังจากผ่านเนินชันเป็นธรรมเนียมในทริปนี้เสียแล้ว เพราะเราไม่อาจปล่อยให้ใครเดียวดายใน เส้นทางแห่งนี้ได้ ณ จุดนี้ตัดสินใจแล้วว่า ถ้าถึงวัดหรือหมู่บ้านใด คงต้องนอนที่นั่นแล้ว เพราะเราใช้แสงตะวันเป็นเครื่องนำไลน์ ด้วยกำลังของรถเล็กซ้อนสอง จำเป็นต้องชาร์จความเร็วและเลือกไลน์ล่วงหน้าสัก ๒-๓๐๐ เมตร หากการตัดสินใจผิดพลาด นั่นหลายถึงการติดกลางเนินหรืออาจจบลงด้วยการล้มลงเพราะ ร่องน้ำที่พาดผ่านถนนไปมา แสงอาทิตย์จึงจำเป็นมาก

 

 

หลุดออกจากทางฝุ่นมาได้ก่อนท้องฟ้า เคลือบฉาบด้วยสีดำเพียงครึ่งชั่วโมง ที่ “หน่วยจัดการต้นน้ำดอยเปเปอร์” นี้จึงเปรียบเสมือน โอเอซิส กลางทะเลทรายดีๆนี่เอง บรรยากาศที่นี่เงียบสงบมีเพียงเราและคู่ สามี-ภรรยาอีกเพียงหนึ่งคู่ และสวรรค์อีกหนึ่งสิ่งคือ เราไม่ได้อาบน้ำมาเกือบๆ สองวันแล้ว และห้องน้ำที่นี่ดีมากกกกก

 

 

ข้าวปลาอาหารเรามีไม่พร้อมสรรพนัก แต่หากถูกแบ่งปันโดยน้ำใจของผู้ร่วมพำนักพักพิงและเจ้าหน้าที่อุทยาน ทำให้ค่ำคืนแห่งมิตรภาพการเม้าท์มอยใต้แสง ดาวพรั่งพร้อมไปด้วยอาหารอันโอชะ เรามาอย่างยาจก แต่อยู่อย่างราชา!!


 

วันที่ ๔

เมาท์มอยกันอย่างออกรสจนดึกสงัดจำเป็นต้องเข้านอน ตื่นมายามเช้าเห็นทะเลหมอกอยู่ปลายสุด สายตา แต่ชานเรือนแห่งดอยเปเปอร์เวลานี้เป็นของเรา กลิ่นไออุ่นของกาแฟที่คละคลุ้งหอมขึ้นติดจมูก เคล้าอากาศเย็นสบายและสายทะเลหมอกเบื้องหน้า ตามด้วยมาม่าร้อนชามใหญ่
เราไม่มีเงินมากมายกว่าคนอื่น และก็ไม่ได้มีความสุขมากกวาคนอื่นด้วย แต่เวลานี้ ความสุขตามอัตภาพก็เกิดขึ้นแล้ว แม้เป็นเพียงเวลาสั้นๆ

 

 

และอีกสถานที่หนึ่งซึ่งอยู่ในมโนความจำมาหลายปี พยายามเพียรหาโอกาสมาเยือนให้ได้ แต่ก็แคล้วคลาดไปซะทุกครั้งไป ในครั้งนี้ผมไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดรอด กับวัดที่มีความสวยงามแบบล้านนาบนยอดเขาสูงชัน ณ ชายแดนใต้สุดของจังหวัดเชียงใหม่นาม “โฆ๊ะผะโด๊ะ” และเจดีย์เหลืองทองอร่อมนามว่า “พระหหาธาตุเจดีย์โลกะวิทู” และความฝันเล็กๆ ที่มีมายาวนานของผมก็เป็นจริง

 

 

 

มีการเริ่มต้น ย่อมมีการลาจาก ในที่สุดเราก็มาถึง “พะน้อคี” หมู่บ้านปากทางเข้าเส้นทางสายโหด พะน้อคี – แม่ตื่น ในที่สุดเราก็ออกสู่ถนนใหญ่ ๑๐๕ จนได้ เราใช้เวลาเดินทางจากดอยเปเปอร์ประมาณ ๑ ชั่วโมงกับระยะทางประมาณ ๒๐ กิโลเมตรบนทางปูน และรวมระยะเวลาเดินทางจากแม่ตื่นเข้าไปอีก ๒ ชั่วโมงบนถนนลูกรัง รวมทั้งสิ้นใช้เวลาเดินทางประมาณ ๓ ชั่วโมงบนเส้นทางนี้ รวมๆ แล้วระยะทางทั้งสิ้นก็ประมาณ ๕๐ กิโลเมตรได้

 

 

เป็นเวลาเย็นย่ำตะวันคล้อย พวกเราก็จัดการกับปัญหาได้เรียบร้อย เหลือเพียงระยะทางมุ่งหน้ากรุงเทพอีกยาวไกล กับ “เจ้าน้ำเงิน” เพื่อนคู่กายอายุอานาม ๑๑ ปีของผมที่กำลังวังชาเริ่มจะลดน้อยถดถอยและควันเริ่มไหลแล้ว หากแต่มันยังคงเป็น “เพื่อน” คู่ใจของผมที่พึ่งพาได้เสมอและไม่เคยทำให้ผิดหวังไม่ว่าจะเป็นเส้นทางรูปแบบไหน ผมยังคงรู้สึกพิเศษอยู่เสมอที่ได้ออกทริปร่วมกับเพื่อนคันนี้แม้กาลเวลาจะผ่านมาเนินนานบนเส้นทางที่ยาวไกล ไม่มีสิ่งใดจะบอกกล่าวเพียงแต่กระซิบเบาๆ ว่า “ขอบคุณนะ ไอ้เพื่อนยาก”

 

ภาพ : เส้นทางบริเวณหน้าวัดโฆ๊ะผะโด๊ะ

ลากันไปด้วยวิดีโอ Time Lapse พระอาทิตย์ตก ณ ทุ่งหญ้าสีทอง ม่อนจอง

ขอขอบคุณรีวิวดีๆจาก สมาชิก Pantip.com คุณ เตี้ย ล่ำ ดำ แก่ สำหรับข้อมูลทั้งหมดค่ะ

 

ติดตาม travel.truelife.com อีกช่องทางที่

ทุกเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว อาหาร และที่พัก คลิกที่ http://travel.truelife.com