“ประเพณีงานไหลเรือไฟ” ถูกจัดขึ้นที่บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม และบริเวณเลียบฝั่งแม่น้ำโขง ถนนสุนทรวิจิตร เขตเทศบาลเมือง จังหวัดนครพนม “ไหลเรือไฟ” เป็นพิธีกรรมที่พุทธศาสนิกชนชาวอีสานยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่ครั้งโบราณกาล โดยมีความเชื่อว่าการไหลเรือไฟเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์ประทับไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทานที ครั้งที่พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธองค์ไปแสดงธรรมในพิภพของนาคใต้เมืองบาดาล รวมทั้งความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาพญานาคในลำน้ำโขง การระลึกถึงพระคุณของพระแม่คงคา ขอขมาลาโทษต่อแม่น้ำ ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในแม่น้ำ และยังถือเป็นการลอยเคราะห์ลอยโศก ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข มีโชคมีลาภ 1. การเดินทาง เราไปกับเพื่อสองคน เดินทางจากหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ตอนแรกพี่ชวนตอนกลับบ้าน แต่เราตั้งใจจะกลับมามอแล้วเลยกลับมาคิด ๆ ดู ช่วงนี้เครียด ๆ กับชีวิต ถ้าได้ออกไปเจออะไรแปลกตาคงเยียวยาใจได้ดีไม่น้อย แต่มองดูเงินในกระเป๋า มีแค่หนึ่งพันบาทเอง แถมแม่ยังบอกว่าให้ได้จนถึงสิ้นเดือน คิดแล้วคิดอีกว่าถ้าไปจะเหลือเงินพอใช้จนถึงสิ้นเดือนไหม แต่ถ้าไม่ไปคิดว่าคงพลาดน่าดู ไม่รู้จะเอายังไง สุดท้ายเลยตัดสินใจแคะกระปุกออมสินที่หยอดไว้เผื่อเที่ยวอยู่แล้ว ก่อนอื่นนะคะ เราถามเพื่อนที่เป็นคนจังหวัดนครพนมก่อนว่าการเดินทางไปสถานที่แห่งนั้นให้ถึงจะต้องต่อรถยังไง เพื่อนก็ได้แนะนำเราว่า ให้นั่งรถทัวร์มุกดาหารคันมีสีชมพู ที่จะจอดอยู่หน้ามอตรงสถานีตำรวจตำบลเกราะแก้วทุก ๆ เช้า ประมาณ 06.30 น. พอนั่งไปถึง บขส. โพนทอง ให้ต่อรถตู้เพื่อไปลงที่มุกดาหารอีก แต่เราโชคดีหน่อยที่พอดีรถคันที่เราขึ้นตอนแรก มีที่ว่างให้เรานั่งต่อยาวไปจนถึงมุกดาหาร พอถึงมุกดาหารให้ต่อรถตู้เข้าตัวเมืองนครพนม เรากับเพื่อนต่อรถตู้นั่งไปถึงแค่อำเภอธาตุพนม เพราะลงเที่ยวที่พระธาตุพนมก่อน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี และมีงานเวียนเทียนเลยเข้าไปเวียนเทียนด้วยเลย จากนั้นให้นั่งรถสองแถวสีเหลืองเข้าตัวเมือง ประมาณ 50 กิโลเมตร พอถึงตัวเมืองนครพนม ตอนแรกคิดว่ารถจะเข้า บขส. แต่พอรถจอดที่หน้าตลาด ถามคนที่นั่นเขาบอกให้เดินไปใกล้ ๆ อีกคนบอกขึ้นสามล้อไปเถอะเดี๋ยวหลงใจจริงเดินเอาคงไม่ไกลมากนัก แต่แดดแรงมากเลยตัดสินใจนั่งสามล้อไปดีกว่า นั่งเล่นไปจนถึงบ่ายสอง บริเวณริมโขงเย็นสบายมาก เพื่อนบอกจะกลับก็เดินไปถาม สามล้อ ว่าอีกไกลมั้ยถึงจะไปถึง บขส. เขาบอกไม่ไกล ประมาณกิโลกว่า ๆ อ่ะ งั้นเดินไป ก็เดิน ๆ ไปส่ง เกือบถึง แต่รถสามล้อผ่านมาพอดี เพื่อนก็เลยขึ้นรถไป เรายังไม่กลับเพราะตั้งใจจะมาดูงานนี้จริง ๆ ก็เดินกลับมานั่งรอที่ริมโขง เดินชมตลาดแถวนั้น แต่แบตมือถือกำลังจะหมด เราเลยต้องเดินวนหาร้านเพื่อจะชาร์จแบต มีร้านนม ร้านกาแฟ ร้านข้าว ร้านเค้ก ทั้งหมดสามสี่ร้าน เดินเลือกไปมาจนถึงห้าโมง เดินวนตลาด เกือบ 10 รอบเพราะกลัวว่าถ้าเข้าไปแล้วไม่มีที่ชาร์จจะทำไง สุดท้ายเดินหาจนแบตหมด มือถือปิดเครื่องเองแล้ว ช้าไม่ได้แล้ว ที่นี่ก็ไกลอีก ถ้าหากพี่มาถึงจะโทรหากันไง ก็เลยเลือกเดินเข้าไปที่ร้านกาแฟ และพึ่งเห็นป้ายว่าปิด 18.00 ตอนนี้ 17.00 ชาร์จหนึ่งชั่วโมงคงได้แค่ 20 % ใช่ 20 % จริง ๆ แต่ระหว่างนั่งในนั้นก็คุ้มนะ ได้พูดคุยกับเจ้าของร้านด้วย คือในนั้นไม่มีใครแล้ว มีลูกค้าคนเดียวคือเราเอง สั่งกาแฟไปแก้วหนึ่งแต่นั่งเป็นชั่วโมง เขาคงงงเลยถามแก้เงียบ เขาก็ถามว่านี่มาเที่ยวคนเดียวหรอ เราก็บอกไปว่าใช่ เพราะเพื่อนกลับแล้ว เขาถามต่อไปว่า “นั่งรถอะไรมา” เราก็บอกไปว่า “นั่ง บขส” “คนยังไม่เยอะเท่าทุกปี ปกติหน้าร้านช่วงเวลานี้จะแน่นมาก แต่ปีนี้รถยังผ่านไปสบายเลย เห็นพยากรณ์อากาศว่าวันนี้อากาศเริ่มเย็น แต่ก็ยังไม่เย็นเท่าไหร่นะผมว่า.. ถ้าช่วงหน้าหนาวแถวนี้อุณหภูมิคงประมาณ 7-8 องศา” “อ๋อ.. ถ้าอย่างนั้นคงบรรยากาศดีมากแน่เลย” “วิวภูเขาสวยมากเลยนะพี่” “ภูเขานั่นของเขานะ ทั้งของลาวและเวียดนาม แต่มันอยู่ไกลมาก ขนาดเรามองจากมุมนี้ยังรู้สึกไกล แต่ช่วงหน้าหนาวจะเห็นควันชัดมาก !!” (ภาพในหัวตอนนั้นคือ มันคงอากาศดีมากอ่ะ อยากมีบ้านแถวริมโขงแบบนี้จังเลย อิจฉาคนแถวนี้เนอะ) และเขาก็ถามว่ามาจากไหน ก็บอกว่ามาจากร้อยเอ็ด อ๋อถ้าเป็นร้อยเอ็ดคงเป็นงานเกี่ยวกับบึงพลาญชัยใช่ไหมครับเราก็เออออไป แต่ถ้าเป็นที่นี่งานก็เกี่ยวกับริมโขงซะส่วนใหญ่ คงไม่มีคนเอาเสื่อจากถุงพลาสติกมาขาย ไม่เห็นเลยเราเห็นเลยบอกว่ามีอยู่จ้าเห็นเขาขายกับเยอะมากฝั่งลานนาคราช เขาทำเสียงตกใจ “ห้ะ! นี่ยังมีอยู่หรอ” เราก็เลยพยักหน้าและบอกว่าเห็น 2. 18.00 กับ แบตมือถือ 21 % เราจ่ายเงินและเดินออกมา พร้อมเอ่ยขอบคุณที่มีที่ให้ชาร์จแบตมือถือเขาก็เอ่ยขอบคุณกลับที่ซื้อกาแฟแก้วเดียวละมั๊ง ฮ่า ๆ เดินเล่นรอเสียงมือถือจนถึง 19.00 อากาศเริ่มเย็น เลยไปยืนถ่ายรูปตรงที่ข้างหลังร้านกาแฟ จะมองเห็นพระจันทร์เต็มดวงสวยมาก และเดินวนมานั่งที่ริมโขงอีกรอบ ทีนี้ขอนั่งแทรกตรงที่ว่าง และปล่อยใจให้ว่างตามอากาศและก็เจอญาติ ๆ ตอนทุ่มกว่า ๆ นั่งรอเขาจุดเรือไฟจนสามทุ่มครึ่ง แต่พอได้ดูจริง ๆ ตอนสี่ทุ่มกว่า ๆ ถ่ายรูปจนหมดตอนสี่ทุ่มพอดี 3. ถึงเวลากลับ หลังจากนั้นก็กลับทุกคนทยอยกลับ อ้าวเรือมันไม่ไหลมาอีกแล้วหรอ คนเริ่มทยอยกลับ เราเลยกลับเหมือนกันได้ดูสมใจ อ๋อไหลเรือไฟเป็นแบบนี้นี่เอง กว่าจะออกจากนครพนมได้ก็ปาไป ตี 1 กว่า ๆ กว่าจะถึงบ้านก็ตีสี่ นอนเอาแรง จนถึง. 6 โมงเช้าก็นั่งรถไป บขส. เพื่อกลับมอ ล่าสุดนั่งหลับบนรถจนถึง. บขส.ร้อยเอ็ดพอขึ้นรถเมล์ร้อยเอ็ดมามอก็หลับอีก รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่ไฟแดงหน้ามอแล้ว 4. สรุปการเดินทาง เป็นการเดินทางที่เหนื่อยและได้ประสบการณ์ แถมยังคุ้มค่าอีกด้วย ทำให้ได้เจออะไรต่าง ๆ มากมาย ทำให้ได้พักใจ และรู้สึกดีที่ได้ไปเห็นภูเขาอีกครั้ง ได้เดินอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ไม่รู้จักกัน ได้เห็นความวุ่นวายและกระหายของคนทั่วไป ได้เห็นใครต่อใครบ้างไปคนเดียวบ้างไปหลายคน ได้เห็นครอบครัวของพวกเขา ได้สัมผัสความเหงาของตัวเองได้ทบทวนปมในใจ ได้เปิดใจกับตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้นั่งเฉย ๆ มองชีวิตผู้คนที่เดินผ่าน มันดีมากเลยเว้ย คิดถึงนครพนม ถ้ามีโอกาสจะไปอีกนะ 5. ค่าเดินทางทั้งหมด รถทัวร์สาย กรุงเทพฯ - มุกดาหาร 120 บาท / รถตู้สายมุกดาหาร - นครพนม (ลงที่ธาตุพนม) 50 บาท / รถโดยสารประจำทาสีเหลือง ธาตุพนม - นครพนม 50 บาท รถสามล้อ เข้างาน 30 บาท / รถตู้ยโสธร - ร้อยเอ็ด 54 บา ท / รถเมล์ร้อยเอ็ด - ราชภัฏ 30 บาท / ขากลับนครพนม - ยโสธร นั่งฟรีขอบคุณมากค่ะ ค่าเดินทางทั้งหมด 334 บาท 6. ค่ากิน แซนวิซและน้ำ 22 เซเว่นหน้ามอ / ข้าวที่ริมโขง 70 บาท / น้ำเปล่าสามขวด 30 บาท / คาปูชิโนเย็น 50 บาท ค่ากินทั้งหมด 172 บาท รวมค่าใช้จ่าย 506 บาท (ขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทาง)